แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา และปรากฏว่าลูกหนี้มีที่ดินอยู่ 1 แปลง ขายฝากแก่เขาไว้ยังไม่ท่วมราคาที่ดินแต่ลูกหนี้ไม่ยอมไถ่ถอน ดังนี้เจ้าหนี้ย่อมมีสิทธิใช้สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้แทนลูกหนี้ฟ้องขอไถ่ถอนที่ดินนั้นได้ และในการฟ้องคดีดังกล่าวแม้เจ้าหนี้จะเป็นโจทก์ฟ้องลูกหนี้และผู้รับซื้อฝากที่ดินไว้เป็นจำเลยด้วยกัน ก็ถือได้ว่าเป็นการขอหมายเรียกลูกหนี้เข้ามาในคดีด้วยแล้ว ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 234 หาจำต้องหมายเรียกลูกหนี้มาในคดีในฐานะเป็นโจทก์เสมอไปไม่
ย่อยาว
คดีนี้ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามคำพิพากษาปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาขายฝากที่นาของจำเลยที่ 1 แก่จำเลยที่ 2 ไว้ เงินที่ขายฝากยังหาท่วมราคาที่ดินไม่โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นจำเลย โดยโจทก์ขอสวมสิทธิจำเลยที่ 1 ขอไถ่ถอนที่ดินรายนี้คืนจากจำเลยที่ 2 ฯลฯ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์เข้าสวมสิทธิของลูกหนี้คือจำเลยที่ 1ไถ่ถอนที่ดินที่ขายฝากจากจำเลยที่ 2 ได้ และให้จำเลยที่ 2 ยอมให้ไถ่ถอนได้
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้ง 2 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าคดีนี้ตามฟ้องก็แสดงชัดแล้วว่า โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องของโจทก์แทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ กล่าวคือเป็นการฟ้องขอสวมสิทธิของจำเลยที่ 1 เพื่อไถ่ถอนการขายฝากที่จำเลยที่ 1 ทำไว้แก่จำเลยที่ 2 แทนจำเลยที่ 1 การที่ฟ้องจำเลยที่ 1 ด้วยก็เพราะจำเลยที่ 1 เพิกเฉยไม่ยอมใช้สิทธิเรียกร้อง และในกรณีเช่นนี้ย่อมถือได้ว่าเป็นการขอหมายเรียกลูกหนี้ (คือจำเลยที่ 1)มาในคดีด้วยแล้ว ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 234 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หาจำต้องหมายเรียกลูกหนี้มาในคดีในฐานะเป็นโจทก์เสมอไปไม่
จึงพิพากษายืน