แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่องค์การนานาชาติแพนเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศไทยได้มอบเงินให้เปล่าแก่ชาวบ้านหมู่บ้านป่าดู่ผ่านกองทุนหมู่บ้านป่าดู่ โดยให้คณะกรรมการหมู่บ้านบริหาร โจทก์ที่ 8 เป็นชาวบ้านหมู่บ้านป่าดู่จึงมีส่วนเป็นเจ้าของเงินด้วย เมื่อจำเลยทั้งสี่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดสรรเงินกู้ยืมและติดตามเงินกู้ยืมคืนจากชาวบ้าน แต่จำเลยทั้งสี่ไม่นำเงินที่ชาวบ้านชำระหนี้เงินกู้ยืมเข้าบัญชี โดยนำไปใช้จ่ายส่วนตัว โจทก์ที่ 8 ย่อมได้รับความเสียหายและถือว่าถูกโต้แย้งสิทธิตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 โจทก์ที่ 8 จึงมีอำนาจฟ้อง
กองทุนหมู่บ้านป่าดู่มิได้เป็นนิติบุคคลจึงไม่จำต้องมีผู้กระทำการแทนนิติบุคคลตามบทบัญญัติของกฎหมาย และไม่ปรากฏว่ามีข้อบังคับใด ๆ ของกองทุนหมู่บ้านป่าดู่ที่กำหนดให้คณะกรรมการกองทุนทั้ง 11 คน ต้องกระทำการร่วมกันในการใช้สิทธิฟ้องร้องเรียกเงินกองทุนคืนจากจำเลยทั้งสี่แต่อย่างใด เมื่อโจทก์ที่ 8 มีส่วนเป็นเจ้าของเงินกองทุนอยู่ด้วย โจทก์ที่ 8 ย่อมใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1359 รวมทั้งการใช้สิทธิทางศาลด้วย โจทก์ที่ 8 แต่ผู้เดียวย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกเงินกองทุนที่จำเลยทั้งสี่นำไปใช้จ่ายส่วนตัวและยังไม่ชำระคืนโดยไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจากเจ้าของรวมคนอื่น
ย่อยาว
โจทก์ทั้งเก้าฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 18,780 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 15,650 บาท จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 15,518 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 13,000 บาท จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 21,825 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 19,400 บาท และจำเลยที่ 4 ชำระเงิน 193,320 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 171,840 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่กองทุนหมู่บ้านป่าดู่
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลย และพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งเก้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานจำเลยทั้งสี่ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยทั้งสี่ต่อไป แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์แก่โจทก์ทั้งเก้า ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์อื่นนอกจากนี้ให้เป็นพับ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 18,780 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 15,650 บาท นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 28 พฤศจิกายน 2545) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 15,518 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 13,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 21,825 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 19,400 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 4 ชำระเงิน 193,320 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 171,840 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินแก่กองทุนหมู่บ้านป่าดู่ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ที่ 8 จำนวน 4,000 บาท
จำเลยทั้งสี่ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 โดยโจทก์ที่ 8 และจำเลยทั้งสี่ไม่โต้แย้งในชั้นฎีกาว่า โจทก์ที่ 8 เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านป่าดู่ มีภูมิลำเนาอยู่บ้านป่าดู่ หมู่ที่ 8 ตำบลคำแคน อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น โจทก์ที่ 8 มอบอำนาจให้นายสังเวียนและนายคำศรีดำเนินคดีแทน เมื่อปี 2540 องค์การนานาชาติแพนเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศไทยได้มอบเงินให้เปล่าแก่ชาวบ้านผ่านกองทุนหมู่บ้านป่าดู่โดยให้คณะกรรมการหมู่บ้านบริหารเงินดังกล่าวในการให้ชาวบ้านกู้ยืมซื้อโค กระบือ จักรเย็บผ้า ขุดบ่อเลี้ยงปลา เมื่อผู้กู้ยืมนำเงินมาชำระหนี้ก็จะนำเงินดังกล่าวฝากเข้าบัญชีเพื่อให้ชาวบ้านคนอื่นกู้ยืมต่อไป ชาวบ้านป่าดู่ได้มอบหมายให้จำเลยทั้งสี่เป็นผู้ให้กู้ยืมและติดตามทวงถามหนี้สิน จำเลยทั้งสี่ดำเนินการให้ชาวบ้านกู้ยืม เมื่อชาวบ้านที่กู้ยืมนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่จำเลยทั้งสี่ จำเลยทั้งสี่ไม่นำเงินเข้าบัญชีแต่กลับนำไปใช้จ่ายส่วนตัว ต่อมาวันที่ 13 กันยายน 2542 โจทก์ทั้งเก้าและนางเพ็ญพราว เจ้าหน้าที่องค์การนานาชาติแพนเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศไทยเรียกให้จำเลยทั้งสี่มาชี้แจง จำเลยทั้งสี่ยอมรับว่านำเงินกองทุนหมู่บ้านไปใช้ส่วนตัวและยอมใช้คืนโดยทำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ความว่า จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ 15,650 บาท ตกลงจะใช้คืนภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2543 จำเลยที่ 2 เป็นหนี้ 13,000 บาท ตกลงจะใช้คืนภายในเดือนมีนาคม 2543 จำเลยที่ 3 เป็นหนี้ 19,400 บาท ตกลงจะใช้คืนภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2544 จำเลยที่ 4 เป็นหนี้ 171,840 บาท ตกลงจะใช้คืนภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2544 ตามหนังสือรับสภาพหนี้ เมื่อครบกำหนดชำระหนี้ จำเลยทั้งสี่เพิกเฉยไม่ยอมชำระ
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่มีว่า โจทก์ที่ 8 ไม่ใช่ผู้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ จึงไม่มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ 8 และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 จะพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ชำระหนี้ให้แก่กองทุนหมู่บ้านป่าดู่ก็ตาม แต่การที่องค์การนานาชาติแพนเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศไทยได้มอบเงินให้เปล่าแก่ชาวบ้านหมู่บ้านป่าดู่ผ่านกองทุนหมู่บ้านป่าดู่โดยให้คณะกรรมการหมู่บ้านบริหาร โจทก์ที่ 8 เป็นชาวบ้านหมู่บ้านป่าดู่จึงมีส่วนเป็นเจ้าของเงินด้วย เมื่อจำเลยทั้งสี่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดสรรเงินกู้ยืมและติดตามเงินกู้ยืมคืนจากชาวบ้าน แต่จำเลยทั้งสี่ไม่นำเงินที่ชาวบ้านชำระหนี้เงินกู้ยืมเข้าบัญชี โดยนำไปใช้จ่ายส่วนตัว เช่นนี้ โจทก์ที่ 8 ย่อมได้รับความเสียหายและถือว่าถูกโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 แล้ว โจทก์ที่ 8 ย่อมมีสิทธิปกป้องรักษาเงินที่ได้รับมาจากองค์การนานาชาติแพนเพื่อร่วมกันพัฒนาประเทศไทยซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนรวมของชาวบ้านในหมู่บ้านได้ โจทก์ที่ 8 จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่ได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ปัญหาข้อสุดท้ายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสี่มีว่า คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านป่าดู่มีทั้งหมด 11 คน ซึ่งรวมโจทก์ทั้งเก้าด้วย และระหว่างพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 7 และที่ 9 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสี่ ศาลชั้นต้นอนุญาต คงเหลือแต่โจทก์ที่ 8 จึงไม่มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า กองทุนหมู่บ้านป่าดู่มิได้เป็นนิติบุคคล จึงไม่จำต้องมีผู้กระทำการแทนนิติบุคคลตามบทบัญญัติของกฎหมาย และข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ามีข้อบังคับใด ๆ ของกองทุนหมู่บ้านป่าดู่ที่กำหนดให้คณะกรรมการกองทุนทั้ง 11 คน ต้องกระทำการร่วมกันในการใช้สิทธิฟ้องร้องเรียกเงินกองทุนคืนจากจำเลยทั้งสี่แต่อย่างใด เมื่อโจทก์ที่ 8 มีส่วนเป็นเจ้าของเงินกองทุนอยู่ด้วย โจทก์ที่ 8 ย่อมใช้สิทธิอันเกิดแต่กรรมสิทธิ์ครอบไปถึงทรัพย์สินทั้งหมดได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1359 รวมทั้งการใช้สิทธิทางศาลด้วย ดังนั้น โจทก์ที่ 8 แต่ผู้เดียวย่อมมีอำนาจฟ้องเรียกเงินกองทุนที่จำเลยทั้งสี่นำไปใช้จ่ายส่วนตัวและยังไม่ได้ชำระคืนได้โดยไม่จำต้องได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีจากเจ้าของรวมคนอื่น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสี่ยังไม่ได้ชำระหนี้เงินกองทุนหมู่บ้านป่าดู่ตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่ทำไว้ จำเลยทั้งสี่จึงต้องรับผิดชำระหนี้ตามความรับผิดของแต่ละคน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าทนายความในชั้นฎีกาแทนโจทก์ที่ 8 จำนวน 4,000 บาท