แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญาที่โจทก์หาว่า จำเลยกระทำผิด พ.ร.บ.สำรวจและห้ามกักกันข้าว (ฉบับที่ 2) โจทก์จะต้องนำสืบให้ปรากฏว่าจำเลยได้ทราบประกาศของพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วฝ่าฝืนประกาศจึงจะเป็นผิด
ที่มีประกาศของคณะกรรมการฯในราชกิจจาฯ เป็นข้อเท็จจริงซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบ ไม่มีหลักกฎหมายสันนิษฐานเด็ดขาดว่าราษฎรทั่วไปได้รู้แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องจำเลยเป็น 5 สำนวนว่า จำเลยขนย้ายข้าวออกนอกเขตไม่รับอนุญาต ฝ่าฝืนประกาศคณะกรรมการฯ จำเลยทุกคนรับสารภาพว่าได้ทำผิดดังฟ้อง แต่ที่ขนเพราะอดข้าว ขนจากเขตติดต่อมากิน
ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับคนละ 50 บาท โดยลดกึ่งหนึ่งแล้วของกลางที่เป็นของจำเลยทุกคนให้ริบให้จ่ายสินบนและรางวัล
จำเลยอุทธรณ์ว่า ของกลางมีข้าว เกวียน วัว เป็นต้นไม่ควรริบจำเลยไม่ทราบประกาศไม่เจตนาฝ่าฝืน
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ประกาศของคณะกรรมการฯ ไม่ใช่กฎหมายเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องสืบว่าจำเลยได้ทราบประกาศนั้นแล้วแต่โจทก์ไม่มีพยานสืบในข้อนี้ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง คืนของกลางให้จำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามอุทธรณ์ของจำเลยมีผลเท่ากับว่า ศาลไม่ควรริบของกลาง เพราะจำเลยไม่ได้ทำผิด แม้จำเลยจะไม่คัดค้านในการถูกลงโทษ ก็เป็นเหตุในลักษณะคดี ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษากลับได้ทั้งเรื่อง คดีนี้เป็นคดีมีอัตราโทษจำคุกถึง 10 ปี ซึ่งศาลจะต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริง ทั้งโจทก์จะต้องนำสืบให้ปรากฏว่า จำเลยได้ทราบประกาศของพนักงานเจ้าหน้าที่แล้วและฝ่าฝืน จึงจะเป็นผิด ไม่เคยมีหลักกฎหมายในที่ใดเลยว่าอะไรที่มีปรากฏในหนังสือราชกิจจาฯ แล้วจะต้องสันนิษฐานเด็ดขาดว่าราษฎรทั่วไปได้รู้แล้ว พิพากษายืน