แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยรับราชการเป็นทหารอากาศเข้าทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 12 กรกฎาคม 2514 ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2518 ออกใช้บังคับ มีผลให้จำเลยซึ่งรับราชการเป็นทหารอากาศขาดคุณสมบัติในการเป็นพนักงานของโจทก์แต่โจทก์คงให้ปฏิบัติงานอยู่กับโจทก์ตลอดมาจนถึงวันที่ 28 กันยายน 2520 โจทก์จึงสั่งให้จำเลยหยุดปฏิบัติงานในวันที่ 29 กันยายน 2520 จำเลยก็ได้ยื่นใบลาออกต่อโจทก์และมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2520 ช่วงเวลาก่อนวันที่ 29 กันยายน 2520 นั้น จำเลยยังเป็นลูกจ้างของโจทก์อยู่ โจทก์มิได้สั่งเลิกจ้างจำเลยแต่อย่างใด ซึ่งในเดือนกันยายน 2520 โจทก์ก็จ่ายเงินเดือนประจำเดือนนั้นให้จำเลยด้วย ถือได้ว่าเป็นการให้เงินเดือนตอบแทนการทำงานของจำเลยในฐานะที่จำเลยยังเป็นลูกจ้างของโจทก์อยู่ ฉะนั้นจำเลยย่อมมีสิทธิได้เงินโบนัสเงินค่าครองชีพ เงินค่ายังชีพ เงินค่ารักษาพยาบาลเงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าตามระเบียบและข้อบังคับของโจทก์ในฐานะที่เป็นค่าจ้างตอบแทนการที่จำเลยทำงานให้โจทก์ตลอดช่วงเวลาที่จำเลยยังเป็นลูกจ้างโจทก์อยู่ การขาดคุณสมบัติของจำเลยตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจพ.ศ. 2518 เป็นเพียงเหตุที่โจทก์จะเลิกจ้างจำเลยได้ ถ้าโจทก์ยังไม่เลิกจ้างจำเลยอยู่ตราบใด จำเลยก็ยังเป็นพนักงานของโจทก์อยู่ โจทก์จึงเรียกเงินต่าง ๆ ดังกล่าวข้างต้นคืนจากจำเลยไม่ได้
จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ยินยอมคืนเงินให้แก่โจทก์ ซึ่งมีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา180 เท่านั้นเมื่อหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดชำระเงินคืนให้แก่โจทก์โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้นั้นจากจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๑๔ จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการทหารอากาศและยังมิได้ลาออกได้เข้าทำงานเป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยไม่ได้แจ้งฐานะการเป็นข้าราชการให้โจทก์ทราบ ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ ออกใช้บังคับ ซึ่งมีบทบัญญัติกำหนดคุณสมบัติพนักงานรัฐวิสาหกิจ ว่าต้องไม่เป็นข้าราชการ หากผู้ใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามดังกล่าว ให้พ้นจากตำแหน่งพนักงานของโจทก์เมื่อพ้นกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ซึ่งจำเลยต้องพ้นจากตำแหน่งและสภาพการเป็นพนักงานของโจทก์ ตั้งแต่วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘ แต่จำเลยยังคงปฏิบัติงานอยู่กับโจทก์เรื่อยมาจนโจทก์ได้ให้จำเลยหยุดปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๒๐ ระหว่างจำเลยยังปฏิบัติงานอยู่ จำเลยได้รับเงินค่าสวัสดิการ เงินช่วยเหลือในการคลอดบุตร เงินช่วยเหลือบุตร เงินช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล เงินช่วยเหลือค่ากระแสไฟฟ้า เงินช่วยเหลือค่าครองชีพ เงินค่ายังชีพ เงินโบนัส ไปรวม ๒๔,๙๑๘.๕๖ บาทจากโจทก์ โจทก์ได้นำเงินเดือนที่จำเลยมีสิทธิได้รับในเดือนกันยายน ๒๕๒๐ เงินค่าล่วงเวลาและค่าปฏิบัติงานกะมาหักชดใช้ คงเหลือเงินที่จำเลยต้องชดใช้คืน ๒๑,๙๐๘.๐๑ บาทจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความผ่อนชำระเงินจำนวนดังกล่าวและผ่อนชำระไปแล้วบางงวด คงเหลือจำนวน ๒๑,๑๐๘.๐๑ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินนั้นพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เพิ่งมาเลิกจ้างจำเลยเมื่อ ๒๙ กันยายน ๒๕๒๐ ก่อนหน้านั้นต้องถือว่าจำเลยปฏิบัติตามสัญญาจ้างมาโดยตลอดโดยถูกต้อง จำเลยมีสิทธิได้รับเงินตามฟ้องจากโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยคืนเงิน ๒๐,๐๓๙.๖๖ พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าเงินโบนัส เงินค่าครองชีพ เงินค่ายังชีพ เงินค่ารักษาพยาบาล เงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าจำนวน ๒๐,๐๓๙.๖๖ บาท เป็นเงินที่จำเลยต้องจ่ายคืนให้โจทก์หรือไม่ เห็นว่าจำเลยเข้าทำงานเป็นลูกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๑๔ ต่อมาได้มีพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตราฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ ออกใช้บังคับโจทก์คงให้จำเลยปฏิบัติงานอยู่กับโจทก์ตลอดมาจนถึงวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๒๐ โจทก์จึงสั่งให้จำเลยหยุดปฏิบัติงานในวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๒๐ จำเลยก็ได้ยื่นใบลาออกต่อโจทก์และมีผลตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๐ ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์จำเลยนำสืบรับกันว่าในช่วงเวลาก่อนวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๒๐ นั้นจำเลยยังเป็นลูกจ้างของโจทก์อยู่ โจทก์มิได้สั่งเลิกจ้างจำเลยแต่อย่างใด ซึ่งในเดือนกันยายน ๒๕๒๐ โจทก์ก็จ่ายเงินเดือนประจำเดือนกันยายน ๒๕๒๐ ให้จำเลยด้วย ถือได้ว่าเป็นการให้เงินเดือนตอบแทนการทำงานของจำเลยในฐานะที่จำเลยยังเป็นลูกจ้างของโจทก์อยู่ ฉะนั้นจำเลยย่อมมีสิทธิได้เงินโบนัส เงินค่าครองชีพ เงินค่ายังชีพ เงินค่ารักษาพยาบาล เงินช่วยเหลือค่าไฟฟ้าตามระเบียบข้อบังคับของโจทก์ในฐานะที่เป็นค่าจ้างตอบแทนการที่จำเลยทำงานให้โจทก์ในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ข้ออ้างของโจทก์ที่ว่า จำเลยรับราชการเป็นทหารอากาศย่อมขาดคุณสมบัติและพ้นสภาพการเป็นพนักงานของโจทก์และจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ ยินยอมคืนเงินสวัสดิการให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่าการขาดคุณสมบัติดังกล่าวตามพระราชบัญญัติคุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๙ เป็นเหตุที่โจทก์จะเลิกจ้างจำเลยได้ ถ้าโจทก์ยังไม่เลิกจ้างจำเลยอยู่ตราบใด จำเลยก็ยังเป็นพนักงานของโจทก์อยู่ โจทก์จึงเรียกเงินต่าง ๆ ดังกล่าวคืนจากจำเลยไม่ได้ส่วนหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทำให้ไว้แก่โจทก์ ก็มีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๘๐ เท่านั้น เมื่อไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดชำระคืนให้แก่โจทก์ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินตามหนังสือรับสภาพหนี้นั้นได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยคืนเงินสวัสดิการต่าง ๆ พร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น