คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1981/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าฟ้องเรียกเอาค่าของที่ส่งมอบแก่จำเลย จึงต้องฟ้องภายในกำหนดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ ทั้ง ๆ ที่มิได้วางบิลเรียกเก็บเงินก่อนเท่ากับเป็นการยกเลิกธรรมเนียมปฏิบัติทางการค้าระหว่างโจทก์และจำเลย ตลอดจนมีผลเป็นการยกเลิกการให้ สินเชื่อทั้งปวงแก่จำเลยด้วย กรณีฟังได้ว่าโจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องได้นับแต่วันส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลยเป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2538 เกิน 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบสินค้าตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2534 ถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2536 แก่จำเลย คดีโจทก์จึงขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 2,993,352.85 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัด (25 กรกฎาคม 2538) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยชำระเงิน 2,993,352.85 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 กรกฎาคม 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 39,364.64 บาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 1,457,373.06 แก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์ และให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 2,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน 29,454.64 บาท ให้แก่จำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์ประกอบการค้าสีและเคมีภัณฑ์สำหรับอุตสาหกรรม จำเลยเป็นลูกค้าสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ โจทก์และจำเลยมีธรรมเนียมปฏิบัติเกี่ยวกับการซื้อขายสีและเคมีภัณฑ์ว่า โจทก์จะส่งสินค้ามาพร้อมกับใบส่งของ ใบกำกับภาษี ระบุวันเดือนปี ที่ส่งสินค้า ชนิดสินค้า จำนวนน้ำหนักและ ราคาที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม เมื่อจำเลยตรวจสอบสินค้าเห็นว่าตรงกับเอกสาร จำเลยจะลงลายมือชื่อในต้นฉบับใบส่งสินค้าและส่งคืนให้โจทก์ โดยจำเลยจะเก็บสำเนาใบส่งสินค้าไว้ เมื่อถึงกำหนดวางบิลเรียกเก็บเงินโจทก์จะนำใบส่งสินค้าพร้อมใบวางบิลมาเรียกเก็บเงินจากจำเลย จำเลยจะทำหลักฐานการรับใบวางบิลให้โจทก์พร้อมกำหนดวันนัด ชำระเงินไว้ด้วย เมื่อถึงวันนัดโจทก์จะมารับเช็คค่าสินค้ากับมอบใบเสร็จรับเงินแก่จำเลย ระหว่างเดือนมิถุนายน 2534 ถึงเดือนกรกฎาคม 2537 จำเลยซื้อและได้รับสินค้าจากโจทก์หลายครั้ง คิดเป็นราคาสินค้าทั้งสิ้น 2,993,352.85 บาท โจทก์ยังมิได้รับชำระราคาจากจำเลย และ จากคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,457,373.06 บาท แก่โจทก์ จำเลยไม่ฎีกาหนี้ค่าสินค้าจำนวนดังกล่าว จึงเป็นอันยุติ
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า หนี้ค่าสินค้าตามเอกสารหมาย จ. 4 ชุดที่ 1 ถึงชุดที่ 5 เป็นเงิน 1,535,959.79 บาท ขาดอายุความฟ้องคดีแล้วหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าฟ้องเรียกเอาค่าของที่ส่งมอบแก่จำเลย จึงต้องฟ้องภายในกำหนดอายุความ 2 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/34 (1) เมื่อพิเคราะห์เอกสารตลอดแล้วปรากฏว่าเอกสารดังกล่าวเป็นแบบพิมพ์ใบเสร็จรับเงิน แต่โจทก์นำมาใช้เป็นใบวางบิลและใบแจ้งหนี้พร้อมไปใน ฉบับเดียวกัน เมื่อโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ทั้ง ๆ ที่มิได้วางบิลเรียกเก็บเงินก่อนเท่ากับเป็นการยกเลิกธรรมเนียมปฏิบัติทางการค้าระหว่างโจทก์และจำเลย ตลอดจนมีผลเป็นการยกเลิกการให้สินเชื่อทั้งปวงแก่จำเลยด้วย กรณีฟังได้ว่าโจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องได้นับแต่วันส่งมอบสินค้าให้แก่จำเลยเป็นต้นไป โจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2538 เกิน 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์ส่งมอบสินค้าตั้งแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2534 ถึง วันที่ 24 มิถุนายน 2536 ตามเอกสารหมาย จ. 4 ชุดที่ 1 ถึงชุดที่ 5 แก่จำเลย คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ที่โจทก์ฎีกาว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์ ยังไม่อาจบังคับได้จนกว่าจะได้มีการส่งใบวางบิลไปเรียกเก็บเงินจากจำเลยก่อนและฎีกาของโจทก์ที่ว่า การซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยไม่มีกำหนดระยะเวลาชำระเงินแน่นอน สุดแล้วแต่โจทก์จะนำบิลส่งของไปวางกับจำเลย เพื่อเรียกเก็บเงินโดยจะรวบรวมบิลส่งของหลายครั้งรวมไปเก็บเงิน ก็เป็นการยกข้อเท็จจริงที่แตกต่างจากคำฟ้อง และทางนำสืบขึ้นกล่าวอ้างขึ้นใหม่ในชั้นฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟ้องไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share