แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ร้องและจำเลยที่ 1 จดทะเบียนหย่ากันเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ยึดทรัพย์ตามคำร้องขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ มิได้เจตนาหย่ากันจริงจัง โดยผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 ยังคงอยู่กินฉันสามีภริยาตลอดมา หลังจากจดทะเบียนหย่ากันแล้วดังนั้นทรัพย์สินที่ผู้ร้องซื้อหามาแม้จะโดยเงินของผู้ร้องเอง ก็ต้องถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องและจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของร่วมกัน โจทก์มีสิทธิยึดทรัพย์ตามคำร้องได้ ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของร่วมไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์
ย่อยาว
คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินพร้อมทั้งดอกเบี้ยให้แก่โจทก์และยกฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน คดีถึงที่สุด จำเลยที่ 1 ไม่ชำระเงิน โจทก์จึงดำเนินการบังคับคดียึดทรัพย์รวม 12 รายการ เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ นายเธียรยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าทรัพย์ตามบัญชียึดทรัพย์อันดับที่ 2-11 เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องแต่ผู้เดียว ขอให้ศาลมีคำสั่งถอนการยึดทรัพย์ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าผู้ร้องและจำเลยที่ 1 มีส่วนเป็นเจ้าของร่วมกันในทรัพย์ดังกล่าว ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขัดทรัพย์ มีคำสั่งยกคำร้องขัดทรัพย์
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ปล่อยทรัพย์ตามคำร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความชัดว่าผู้ร้องและจำเลยที่ 1 จดทะเบียนหย่าเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 ยึดทรัพย์ตามคำร้องขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์ มิได้เจตนาหย่ากันจริงจัง โดยผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 ยังคงอยู่กินฉันสามีภริยาตลอดมาหลังจากจดทะเบียนหย่ากันแล้ว ดังนั้น ทรัพย์สินที่ผู้ร้องซื้อหามาแม้จะโดยเงินของผู้ร้องเอง ก็ต้องถือว่าเป็นทรัพย์สินที่ผู้ร้องและจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของร่วมกัน โจทก์มีสิทธิยึดทรัพย์ตามคำร้องได้ผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าของร่วมไม่มีสิทธิที่จะร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ตามคำร้อง
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น