แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยชนะคดี สำหรับศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์และจำเลยได้ที่นาพิพาท คนละครึ่ง ซึ่งหลังจากศาลชั้นต้นพิพากษา โจทก์และโจทก์ร่วม ยังคงทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวเต็มทั้งแปลง ไม่ยอมให้จำเลย ได้เข้าทำประโยชน์แต่อย่างใดเลย หากคิดเป็นผลประโยชน์ที่จำเลย จะได้รับติดเป็นเงินปีละประมาณ 10,000 บาท เพื่อประโยชน์ แห่งความยุติธรรม โปรดมีคำสั่งให้โจทก์ออกไปจากที่ดิน ส่วนที่เป็นของจำเลย และให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยนับแต่ ปี พ.ศ. 2532 เป็นต้นมา และขอให้โจทก์นำเงินมาวางศาลปีละ 10,000 บาท จนกว่าคดีจะถึงที่สุด หากโจทก์ชนะคดีก็ให้รับเงิน คืนไปจากศาล
หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 82)
คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน โดยเรียกนายบัณฑิตหรือบัณฑิต ทองไชย ว่าโจทก์เรียกนางล้ม ละหาหรือระหา ว่าจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนให้โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสองมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) เลขที่ 630 เล่ม 7 ก.หน้า 30 เลขที่ดิน 74 ตำบลดู่ลาด อำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธรครึ่งหนึ่งของเนื้อที่ทั้งหมด หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ฯลฯ
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วม ให้โจทก์ โจทก์ร่วม และบริวารออกจากที่ดินแปลงพิพาทตาม หนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 630ตำบลดู่ลาด อำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธร ไม่ให้โจทก์และโจทก์ร่วมยุ่งเกี่ยวในที่พิพาทอีก ให้โจทก์และโจทก์ร่วมชดใช้ค่าเสียหายให้จำเลยปีละ 500 บาท ตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าโจทก์และโจทก์ร่วมจะออกจากที่พิพาท
โจทก์ฎีกา (อันดับ 75)
จำเลยยื่นคำร้องดังกล่าว โดยทนายจำเลยลงชื่อในคำร้องโดยในใบแต่งทนายไม่ได้ระบุให้มีอำนาจฎีกาด้วย (อันดับ 75,54)
คำสั่ง
เนื่องจากศาลฎีกาได้มีคำสั่งวางเงื่อนไขเกี่ยวกับการขอทุเลาการบังคับระหว่างฎีกาตามคำร้องของ โจทก์ไว้แล้วว่า หากโจทก์หาประกันสำหรับจำนวนเงินค่าเสียหายที่จะต้องชำระ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 มีกำหนด 3 ปี มาให้จนเป็นที่พอใจ และภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ก็อนุญาตให้ทุเลาการบังคับ แก่โจทก์ในระหว่างฎีกา มิฉะนั้นให้ยกคำร้อง ฉะนั้นจำเลย จึงไม่จำเป็นต้องขอคุ้มครองประโยชน์ในชั้นนี้อีก ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ