แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลย 3 เดือน ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่า ลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือนและให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ดังนี้ ถือไม่ได้ว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเกินหนึ่งปี เป็นคดีต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 7, 8, 17, 69 และขอให้ริบของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 7, 8, 17, 69 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2528 มาตรา 6, 10 ให้จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 เดือน ริบของกลาง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน ไม่ปรากฏว่าจำเลยรับโทษจำคุกมาก่อนจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย3 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน และให้รอการลงโทษไว้ ดังนี้ แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้ให้รอการลงโทษอันเป็นการแก้ไขมากก็ตาม แต่การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือนโดยให้รอการลงโทษไว้นั้นถือไม่ได้ว่าศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเกินหนึ่งปี คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219ที่โจทก์ฎีกาขอให้ไม่รอการลงโทษแก่จำเลย เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ เป็นข้อเท็จจริง ซึ่งต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว
พิพากษายกฎีกาโจทก์