แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาขายสิทธิการเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทน ไม่ใช่สัญญาที่กำหนดเอาหน้าที่ให้จำเลยทำแต่ฝ่ายเดียว และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย เพราะเป็นสัญญาก่อให้เกิดหนี้ทำให้โจทก์จำเลยทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกันจำเลยเป็นเจ้าหนี้ในการที่จะเรียกร้องเอาราคาค่าโอนสิทธิในการเช่าให้แก่โจทก์ ในเวลาเดียวกันก็เป็นลูกหนี้ในการที่จะต้องแสดงเจตนาต่อผู้ให้เช่าโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยในการที่จะเรียกร้องให้จำเลยดำเนินการโอนสิทธิการเช่าและส่งมอบห้องเช่าให้แก่โจทก์ และเป็นลูกหนี้ที่จะต้องชำระราคาค่ารับโอนสิทธิการเช่าให้แก่จำเลย และข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย จึงเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ตามกฎหมายเมื่อจำเลยไม่ดำเนินการโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ จึงถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญา
เหตุสุดวิสัยนั้นจะต้องเป็นเหตุที่ไม่มีใครอาจจะป้องกันได้ การที่จำเลยไม่อาจโอนสิทธิการเช่าโดยจำเลยยังไม่มีสิทธิการเช่าห้องโดยสมบูรณ์ เพราะจำเลยยังค้างชำระเงินบำรุงสำหรับสิทธิในการเช่าห้องพิพาทอยู่ และจำเลยยังไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ให้เช่าให้โอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้โจทก์ ไม่เป็นเหตุสุดวิสัย
สัญญาระบุว่า จำเลยจะต้องส่งมอบห้องที่จำเลยขายสิทธิการเช่าให้โจทก์ภายในวันที่ 5 สิงหาคม 2509 แม้ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2509 จำเลยจะนัดให้โจทก์ไปรับโอนสิทธิการเช่าแล้วจำเลยไม่ไป ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการผิดนัด ไม่เป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่โจทก์ก่อให้เกิดขึ้นก่อนเวลาที่จำเลยผิดนัดได้
การค้าย่อมมีทั้งการขาดทุนและกำไร เมื่อจำเลยผิดสัญญาทำให้โจทก์เสียหาย แม้โจทก์จะนำสืบไม่ได้ว่าเสียหายไปจำนวนเท่าใด ศาลก็กำหนดให้ตามสมควรแก่พฤติการณ์ได้
การโอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทจะมีผลต่อเมื่อผู้ให้เช่ายินยอมเสียก่อนจึงจะโอนกันได้ จะถือเอาคำพิพากษาบังคับผู้ให้เช่ายอมให้โจทก์เช่าห้องพิพาทไม่ได้ ต้องพิพากษาให้จำเลยแสดงเจตนาต่อผู้ให้เช่ายอมโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภริยากันได้ตกลงทำสัญญาขายสิทธิการเช่าห้องแถวของเทศบาลเมืองลพบุรีเลขที่ 76 พร้อมทั้งเครื่องอุปกรณ์ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 18,000 บาท โจทก์ได้วางมัดจำไว้เป็นเงิน 8,000 บาท ส่วนที่เหลือชำระเมื่อจำเลยขนย้ายออกจากห้องและโอนสิทธิการเช่าพร้อมกับส่งมอบห้องให้โจทก์โดยจำเลยสัญญาจะขนย้ายออกจากห้อง และโอนสิทธิการเช่าไฟฟ้า น้ำประปาและส่งมอบห้องให้โจทก์เข้าเปิดทำการค้าได้ ภายในวันที่ 5 สิงหาคม 2509 ถ้าจำเลยผิดสัญญายอมชดใช้เงินเป็นเบี้ยปรับ 50,000 บาทโดยไม่มีเงื่อนไข จำเลยที่ 1 ลงชื่อในสัญญาเป็นผู้ขายจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นพยาน ต่อมาจำเลยได้ติดต่อนัดโจทก์ไปทำการโอนสิทธิการเช่าห้องที่ซื้อขาย ณ เทศบาลเมืองลพบุรี และส่งมอบห้องให้แก่โจทก์ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2509 โจทก์จึงติดต่อสั่งซื้อข้าวสารและสินค้าต่าง ๆ จากโรงสีและห้างร้านเพื่อประสงค์เปิดร้านทำการค้า เมื่อถึงวันกำหนดนัดจำเลยกลับผิดนัดไม่ยอมไปโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ ครั้งถึงวันที่ 5 สิงหาคม 2509 อันเป็นวันกำหนดตามสัญญา จำเลยกับผิดสัญญาไม่ยอมโอนสิทธิการเช่าห้องที่ซื้อขายและส่งมอบห้องให้โจทก์ โจทก์ได้เตือนจำเลยหลายครั้งจำเลยก็เพิกเฉยเมื่อผู้กำกับตำรวจภูธรจังหวัดลพบุรีเรียกจำเลยไปเปรียบเทียบตามคำขอของโจทก์ จำเลยกลับขอคืนเงินมัดจำ อ้างว่าไม่มีที่อยู่จึงถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายต้องเสียค่าพาหนะ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปซื้อข้าว ค่ารถยนต์บรรทุกข้าว และขาดประโยชน์รายได้ รวมทั้งกำไรจากการขายข้าวและสินค้า รวมเป็นเงิน 22,600 บาท ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดรวมทั้งเบี้ยปรับด้วย จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าส่งมอบห้องที่ซื้อขายให้โจทก์ และรับเงิน 10,000 บาท ไปจากโจทก์ ถ้าไม่ปฏิบัติก็ขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย โอนสิทธิให้โจทก์ให้จำเลยทั้งสองช่วยกันใช้ค่าเสียหายและเบี้ยปรับรวมเป็นเงิน 72,600 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จให้แก่โจทก์กับใช้ค่าขาดประโยชน์รายได้จากการค้าวันละ 100 บาท จนกว่าจำเลยจะส่งมอบห้องให้โจทก์ และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การและขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ ปฏิเสธฟ้องโจทก์และต่อสู้ว่าสัญญาท้ายฟ้องโจทก์เกิดโดยการมิชอบ เพราะกำหนดหน้าที่ให้จำเลยฝ่ายเดียว โจทก์ไม่มีหน้าที่ปฏิบัติอย่างใดเลย และจำเลยได้บอกล้างสัญญาแล้ว จำเลยไม่มีอำนาจจะทำการโอนสิทธิห้องนี้ได้เพราะเหตุสุดวิสัยเนื่องจากจำเลยยังไม่มีสิทธิในห้องนั้นแต่อย่างใดการบอกเลิกสัญญาจำเลยได้ขอคืนเงินทุกครั้ง แต่โจทก์ว่าไม่เป็นไรยอมเลิกสัญญา แต่ต่อไปเบื้องหน้าถ้าจะขายต้องขายให้โจทก์ โจทก์มีสถานที่อยู่ 3 แห่งแล้ว ค่าเสียหายตามฟ้องโจทก์ไม่เป็นความจริงโจทก์ไม่เสียหาย ค่าขาดประโยชน์รายได้เป็นเรื่องไกลกว่าเหตุมูลหนี้ที่เกิดขึ้น 18,000 บาทนั้นจะยอมให้ปรับ 50,000 บาท อย่างไรได้ โจทก์นำสัญญาที่บอกเลิกแล้วมาฟ้อง ไม่ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้อง จำเลยไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ขอสละสิทธิไม่เรียกเบี้ยปรับจากจำเลย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 จัดการโอนสิทธิการเช่าห้องพิพาท และส่งมอบห้องพิพาทให้โจทก์ตามสัญญา โดยให้โจทก์ชำระเงินที่ยังไม่ได้ชำระอีก 10,000 บาท ตามสัญญาให้แก่จำเลยถ้าจำเลยที่ 1 ไม่จัดการโอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้โจทก์ ก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้ยกฟ้องโจทก์ในเรื่องค่าเสียหายที่โจทก์เรียกตามฟ้อง ให้จำเลยเสียค่าธรรมเนียมและค่าทนายความแทนโจทก์
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 13,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ต่อจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ และให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์อีกวันละ 50 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะส่งมอบห้องพิพาทให้โจทก์ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ อุทธรณ์ของจำเลยให้ยกเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วพิพากษาว่า สัญญาขายสิทธิการเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทน ไม่ใช่สัญญาที่กำหนดเอาหน้าที่ให้จำเลยทำแต่ฝ่ายเดียวและไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย สัญญาขายสิทธิการเช่าก่อให้เกิดหนี้ทำให้โจทก์จำเลยทั้งสองฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้ และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน จำเลยเป็นเจ้าหนี้ในการที่จะเรียกร้องเอาราคาค่าโอนสิทธิในการเช่าให้แก่โจทก์ ในเวลาเดียวกันก็เป็นลูกหนี้ในการที่จะต้องแสดงเจตนาต่อเทศบาลเมืองลพบุรีโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ โจทก์ก็เป็นเจ้าหนี้จำเลยในการที่จะเรียกร้องให้จำเลยดำเนินการโอนสิทธิการเช่าและส่งมอบห้องพิพาทให้แก่โจทก์ และเป็นลูกหนี้ที่จะต้องชำระราคาค่ารับโอนสิทธิการเช่าให้แก่จำเลย ข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย จึงเป็นสัญญาที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย เมื่อจำเลยไม่ดำเนินการโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์จึงถือได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาในประเด็นที่ว่ามีเหตุสุดวิสัยจำเลยไม่อาจโอนสิทธิการเช่าให้โจทก์ได้ เห็นว่า เหตุสุดวิสัยนั้นจะต้องเป็นเหตุที่ไม่มีใครอาจจะป้องกันได้ การที่จำเลยยังไม่มีสิทธิในการเช่าห้องโดยสมบูรณ์ เพราะยังค้างชำระเงินบำรุงเทศบาลเมืองลพบุรีสำหรับสิทธิในการเช่าห้องพิพาทอยู่ และจำเลยยังไม่ได้รับอนุญาตให้โอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้โจทก์ ไม่เป็นเหตุสุดวิสัย เกี่ยวกับค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องเนื่องจากต้องเสียค่าพาหนะและค่าใช้จ่าย ต้องขายข้าวสารในราคาขาดทุนต้องเสียค่ารถยนต์บรรทุกข้าว เห็นว่า ตามสัญญาระบุว่าจำเลยจะต้องส่งมอบห้องพิพาทให้โจทก์ภายในวันที่ 5 สิงหาคม 2509 แม้ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2509 จำเลยจะนัดให้โจทก์ไปรับทำการโอนสิทธิการเช่าแต่แล้วจำเลยก็ไม่ไป ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการผิดนัด เพราะสัญญากำหนดวันชำระหนี้ไว้ในวันที่ 5 สิงหาคม 2509 จำเลยไม่มีหน้าที่จะต้องรับผิดในค่าเสียหายที่โจทก์ก่อให้เกิดขึ้นก่อนเวลาที่จำเลยผิดนัด และคดียังไม่พอฟังว่าโจทก์ได้เสียหายไปจริง เกี่ยวกับค่าเสียหายเนื่องจากโจทก์ขาดกำไร เห็นว่า หลักฐานของโจทก์ยังขาดความแน่นอน แต่การค้าย่อมมีทั้งการขาดทุนและกำไร การที่จำเลยผิดสัญญาไม่ไปโอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้โจทก์ โจทก์ย่อมได้รับความเสียหาย ขาดประโยชน์ในการที่ไม่ได้ใช้ห้องพิพาท เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าเสียหายไปจำนวนเท่าใด ศาลก็กำหนดให้จำเลยใช้ให้ตามสมควรแก่พฤติการณ์ได้ และเนื่องจากการโอนสิทธิการเช่าจะมีผลต่อเมื่อผู้ให้เช่ายินยอมเสียก่อน จึงจะโอนกันได้ จะถือเอาคำพิพากษาบังคับเทศบาลเมืองลพบุรีผู้ให้เช่ายอมให้โจทก์เช่าห้องพิพาทไม่ได้ จึงให้จำเลยที่ 1 แสดงเจตนาต่อเทศบาลเมืองลพบุรียอมโอนสิทธิการเช่าห้องพิพาทให้แก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ 100 บาท นับตั้งแต่วันฟ้อง ถึงวันที่จำเลยที่ 1 ได้แสดงเจตนาต่อเทศบาลเมืองลพบุรีดังกล่าว ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ