คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1976/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ไป 7,000 บาท ได้มอบตราจองที่ดินของจำเลยให้โจทก์ยึดถือไว้ แล้วจำเลยไม่ชำระ จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า น้องสาวและน้องเขยของจำเลยกู้เงินโจทก์ 14,000 บาท ได้นำตราจองไปให้โจทก์ยึดถือไว้ เนื่องจากจำเลยและน้องสาวของจำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมในตราจองดังกล่าว จำเลยจึงลงชื่อในสัญญากู้เพื่อค้ำประกันหนี้ของน้องสาวและน้องเชย โดยจำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ไปจากโจทก์ ดังนี้ จำเลยมีสิทธินำสืบพยานบุคคลตามข้อต่อสู้ของจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย เพราะเป็นการนำสืบถึงข้อตกลงอันเป็นมูลเหตุและความประสงค์ที่สัญญาเพื่อแสดงว่าไม่มีมูลหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ที่จะทำให้จำเลยต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ประการหนึ่งและหนี้เงินกู้ตามที่ระบุไว้ในสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ เพราะโจทก์ไม่ได้ส่งมอบเงินที่กู้ให้จำเลยอีกประการหนึ่ง
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 15 และ 16/2518)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์ ๗,๐๐๐ บาท โดยจะให้ดอกเบี้ยและจะชำระเงินกู้คืนภายในเวลาที่กำหนด จำเลยได้มอบตราจองที่ดินของจำเลยให้โจทก์ยึดไว้เป็นประกันตั้งแต่กู้เงินไป จำเลยไม่เคยชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์ ขอศาลได้พิพากษาบังคับให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้เงินโจทก์ เดิมน้องสาวและน้องเขยจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไป ๑๔,๐๐๐ บาท และได้นำตราจองที่มีชื่อน้องสาวจำเลยและจำเลยเป็นเจ้าของร่วมกันให้โจทก์ยึดถือไว้ เนื่องจากตราจองดังกล่าวมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ด้วย จึงให้จำเลยลงชื่อในสัญญากู้หรือค้ำประกันให้โจทก์ จำเลยเห็นว่าโจทก์เป็นญาติกัน และเพื่อช่วยเหลือน้องสาวและน้องเขย จำเลยจึงลงชื่อให้ไปโดยจำเลยไม่ได้รับเงินจากโจทก์ ต่อมาน้องสาวและน้องเขยได้ใช้นาชำระหนี้ให้โจทก์ และโจทก์ได้เก็บค่าเช่านาต่างดอกเบี้ยนับแต่วันกู้ถึงวันที่โอนนาชำระหนี้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินโจทก์ จำเลยทำสัญญากู้หมาย จ.๑ ให้โจทก์ไว้เพื่อประกันหนี้ที่น้องเขยจำเลยกู้ไปจากโจทก์ ต่อมาน้องสาวจำเลยได้โอนนาส่วนของชำระหนี้ที่นายเหลือกู้โจทก์ครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้เงินตามสัญญากู้หมาย จ.๑ แก่โจทก์อีก พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยยอมรับแล้วว่าจำเลยลงชื่อในสัญญากู้หมาย จ.๑ ในฐานะผู้กู้ จำเลยจะนำสืบพยานบุคคลว่าจำเลยเป็นแต่เพียงผู้ค้ำประกันหนี้หาได้ไม่ เป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔(ข) นั้น ศาลฎีกาโดยมติของที่ประชุมใหญ่เห็นว่า จำเลยให้การต่อสู้ว่าคดีน้องสาวและน้องเขยของจำเลยกู้เงินโจทก์ ๑๔,๐๐๐ บาท ได้นำตราจองไปให้โจทก์ยึดถือไว้ เนื่องจาากจำเลยและน้องสาวของจำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมในตราจองดังกล่าว จำเลยจึงลงชื่อในสัญญากู้เพื่อค้ำประกันหนี้ของน้องสาวและน้องเขย จำเลยดังกล่าวโดยจำเลยไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ไปจากโจทก์ เช่นนี้ จำเลยมีสิทธินำสืบพยานบุคคลตามข้อต่อสู้ของจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ วรรคท้าย เพราะเป็นการนำสืบถึงข้อตกลงอันเป็นมูลเหตุและความประสงค์ที่สัญญาเพื่อแสดงว่าไม่มีมูลหนี้ตามหนังสือสัญญากู้ที่จะทำให้จำเลยต้องรับผิดใช้เงินแก่โจทก์ประการหนึ่งและหนี้เงินกู้ตามที่ระบุไว้ในเอกสาร จ.๑ ไม่สมบูรณ์ เพราะโจทก์ไม่ได้ส่งมอบเงินที่กู้ให้จำเลยอีกประการหนึ่งด้วย กรณีหาใช่เป็นการนำสืบเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญากู้ดังข้อฎีกาของโจทก์ไม่ ฎีกาโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยทำสัญญากู้โจทก์ โดยมีมูลหนี้ต่อกันอยู่ก่อนส่วนหนึ่ง และจำเลยได้รับเงินกู้ไปอีกส่วนหนึ่งครบจำนวนตามสัญญากู้ หาใช้จำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์ และจำเลยเซ็นชื่อในสัญญากู้เพื่อค้ำประกันหนี้ของน้องเขยจำเลยไม่
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า ให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยตามฟ้องให้โจทก์
(ไพโรจน์ ไวกาสี ประพจน์ ถิระวัฒน์ สมคิด มงคลชาติ)

Share