แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้กรรมการตรวจฎีกาโจทย์ อุทธรณคำพิพากษา ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๖๐ เวลา ๙ นาฬิกาหลังเที่ยง จำเลยกับพวกอีก ๒ คนสมคบกันถืออาวุธมีดแลไม้เข้าปล้นกระบือของนายชื่น นางแดง พวกจำเลยทำร้ายนายชื่นเจ้าทรัพย์บาดเจ็บแล้วไล่กระบือไป ๑๓ กระบือรวมราคา ๖๐๐ บาทไปรุ่งขึ้งเจ้าพนักงานจับกระบือของกลางได้ที่นายตาบผู้ใหญ่บ้าน ๑๒ กระบือ ยังขาดอีก ๑ กระบือ ขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๓๐๑-๓๒๒ ฯ
จำเลยให้การปฏิเสธข้อหา แต่นายตาบให้การแก้ว่าได้ซื้อกระบือของกลางนี้จากนายรุนโดยไม่รู้สึกว่าเปนของร้าย ฯ
ศาลจังหวัดสุพรรณบุรีพิจารณาคดีแล้วทำความเห็นว่า นายอ่องจำเลยคนเดียวมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ แลทำร้ายเจ้าทรัพย์บาดเจ็บนายปลื้ม นายเหมือน นายตาบผู้ใหญ่บ้านมีความผิดฐานรับของโจร จึงวางบทกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๓๐๑ ฐานปล้นทรัพย์ ให้จำคุกนายอ่องจำเลย ๑๒ ปี แลให้ใช้ราคากระบือ ๘๐ บาทให้แก่เจ้าทรัพย์วางบทมาตรา ๓๒๒ ฐานรับของโจรปล้น ให้จำคุกนายปลื้ม นายเหมือนคนละ ๔ ปี วางบทมาตรา ๓๒๑ ฐานรับของโจร ให้จำคุกนายตาบผู้ใหญ่บ้าน ๔ ปี แต่อธิบดีศาลมณฑลนครชัยศรีมีความเห็นแย้งว่า ควรปล่อยตัวนายตาบผู้ใหญ่บ้านไป ฯ
จำเลยอุทธรณ ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลเดิมให้ปล่อยตัวนายปลื้ม นายเหมือน นายตาบผู้ใหญ่บ้านไป แต่ข้อที่ลงโทษนายอ่องจำเลยนั้นยืนตามศาลเดิม ฯ
โจทย์ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกาว่า ควรลงโทษนายปลื้ม นายเหมือน นายตาบผู้ใหญ่บ้านฐานรับของโจรปล้น ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนเรื่องนี้แล้ว ได้ความว่าในคืนวันเกิดปล้นนั้นเวลา ๙ นาฬิกาหลังเที่ยงมีผู้ร้าย ๖ คนถืออาวุธเข้าปล้นกระบือของนายชื่น แลทำร้ายนายชื่นบาดเจ็บ แต่ไม่สาหัส เจ้าของทรัพย์จำหน้าได้แต่นายอ่องจำเลยคนเดียว ส่วนนายอ่องมิได้ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา คดีเปนอันยุติชั้นศาลล่าง คงพิจารณาแต่คดีส่วนตัวนายปลื้ม นายเหมือน นายตาบผู้ใหญ่บ้านต่อไป ได้ความว่า เมื่อเกิดปล้นแล้ว ครั้งรุ่งขึ้นวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๖๐ เวลา ๗ นาฬิกาก่อนเที่ยง นายอ่อง นายเฉื่อย นายเรืองกับนายเหมือน นายปลื้มไล่กระบือ ๑๒ กระบือที่ปล้นมาจากบ้านนายชื่นนั้นไปที่โรงนานายรุนตำบลสาลี ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านนายชื่นที่ถูกปล้นระยะทางเดิรราว ๕ ชั่วโมง แต่นายอ่อง นายเฉื่อย นายเรืองไล่กระบือไปถึงโรงนายรุนก่อน นายปลื้ม นายเหมือนจำเลยเดิรล้าหลังตามนายอ่องมาติด ๆ กัน เมื่อพวกที่ไล่กระบือมาถึงพร้อมกันแล้ว นายอ่องจำเลยพูดกับนายรุนว่าระบือที่ไล่มานั้นเปนของนายอ่องกับพวกที่มาด้วยกัน ขอให้นายรุนช่วยบอกขายจะให้ค่าจ้างขายตัวละ ๑ บาท แล้วนายรุนก็นำนายอ่อง นายเหมือน นายปลื้ม นายเฉื่อย นายเรืองไล่กระบือข้ามคลองสาลีไปบอกขายให้นายปุ๊ ๆ ไม่ซื้อก็พาไปพักหลังบ้านนายตาบผู้ใหญ่บ้าน แล้วนายปลื้ม นายเหมือนจำเลยก็เดิรไปที่โรงขายยาฝิ่นซึ่งอยู่ใกล้ที่นั้น นายอ่องจำเลยก็ตามไปที่โรงขายยาฝิ่นด้วย ยังอยู่แต่นายรุน นายเฉื่อย นายเรือง นายเฉื่อยได้บอกขายกระบือให้นายตาบผู้ใหญ่บ้าน นายตาบรู้แล้วว่ากระบือนั้นไม่มีตั๋วพิมพ์รูปพรรณ นายตาบผู้ใหญ่บ้านขอซื้อกระบือทั้ง ๑๒ ตัวราคา ๑๕๐ บาท นายเรือง นายเฉื่อยก็ยอมขายแต่นายตาบผู้ใหญ่บ้านขอผัดอีก ๓ วันจะใช้เงิน แล้วเอากระบือของนายตาบ ๑ กระบือให้นายเฉื่อย นายเรืองยึดไว้ก่อน นายเฉื่อย นายเรืองก็ยอมรับเอากระบือของนายตาบ นายเฉื่อย นายเรืองไล่กระบือของนายตาบข้ามคลองสาลีไป นายอ่อง นายปลื้ม นายเหมือน จำเลยพากันออกจากโรงยาฝิ่นตามนายเรือง นายเฉื่อยไปด้วย ฝ่ายนายตาบจำเลยได้ไล่กระบือของกลางนั้นไปที่หนองแห่งหนึ่งห่างจากบ้านนายตาบ ๔๐ เส้น แต่ปล่อยกระบือแยกย้ายกัน รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งพวกเจ้าทรัพย์ตามมาพบกระบือของกลางที่หนองนั้น ครั้งแรกพบกระบือของกลาง ๙ ตัว แลได้ตรวจต่อไปอีกพบกระบือของกลางอีก ๓ ตัว รวมเปน ๑๒ ตัว ยังคงขาดกระบืออีกตัวหนึ่ง เมื่อเวลาพวกเจ้าทรัพย์ตามไปพบกระบือนั้น ไม่พบนายตาบผู้ใหญ่บ้านฤาคนอื่น พวกเจ้าทรัพย์ก็ไล่กระบือของกลางนั้นมาแจ้งความต่อกำนัน ต่อมาเจ้าพนักงานไต่สวนเรื่องนี้ เจ้าพนักงานได้ถามนายตาบผู้ใหญ่บ้านครั้งแรกนายตาบให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ซื้อกระบือของกลางนี้ไว้ เจ้าพนักงานสืบได้ความจากนายรุนแลคนอื่นในหมู่บ้านนายตาบผู้ใหญ่บ้าน ได้ความว่านายตาบเปนผู้ซื้อกระบือรายนี้ นายตาบจึงให้การรับว่าได้ซื้อกระบือรายนี้มาจากนายรุน ฯ
ได้ความตามทางพิจารณาดังกล่าวมาแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าคดีส่วนตัวนายปลื้ม นายเหมือนจำเลยนั้น ฟังเปนความจริงได้ว่านายปลื้ม นายเหมือนเปนพวกของนายอ่องผู้ร้ายปล้นนายนี้ ได้ช่วยกันไล่กระบือที่ปล้นได้มาจากนายชื่นไปเที่ยวจำหน่าย โดยรู้แล้วว่าเปนของได้มาจากการกระทำผิด กิริยาของจำเลยทั้ง ๒ นี้ใกล้จะเปนผู้ร้ายปล้นมาก เพราะเวลาเกิดปล้นกับเวลาที่พวกจำเลยไล่กระบือไปจำหน่ายไม่ห่างไกลกันนัก ทั้งจำเลยให้การปฏิเสธเสียทีเดียวมิได้มีข้อต่อสู้เพื่อแสดงให้เห็นความบริสุทธิ ศาลจังหวัดสุพรรณบุรีวางบทลงโทษจำเลยฐานรับของโจรปล้นนั้นดีอยู่แล้ว ส่วนนายตาบผู้ใหญ่บ้านนั้นก็รู้อยู่แล้วว่ามีผู้นำกระบือต่างตำบลเข้ามาในท้องที่ของตนถึง ๑๒ ตัว ทั้งไม่มีตั๋วพิมพ์รูปพรรณด้วย ซึ่งอาจรู้ได้ว่าเปนกระบือไม่บริสุทธิ น่าที่ผู้ใหญ่บ้านต้องนำความไปแจ้งต่อกำนันตามพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ พ.ศ.๒๔๕๗ มาตรา ๒๗ ข้อ ๕ แต่นายตาบจำเลยหาได้กระทำการตามน่าที่ไม่ กลับซื้อกระบือนั้นไว้โดยราคาถูกกว่าธรรมดา แล้วกลับไล่กระบือนั้นไปเลี้ยงไว้ไกลจากบ้านของตนถึง ๔๐ เส้น ครั้นเจ้าพนักงานเรียกจำเลยมาไต่สวน กลับปฏิเสธว่าไม่ได้รับซื้อกระบือนั้นแต่หากมีพยานได้รู้เห็นเปนหลักฐานมั่นคงว่านายตาบจำเลยได้ซื้อกระบือนั้นไว้ นายตาบจึงให้การรับในชั้นหลังว่าได้ซื้อกระบือนั้นไว้จริง ควรฟังว่านายตาบผู้ใหญ่บ้านได้รับกระบือไว้โดยรู้แล้วว่าเปนกระบือไม่บริสุทธิศาลจังหวัดสุพรรณบุรีวางบทลงโทษนายตาบผู้ใหญ่บ้านฐานรับของโจรนั้นชอบแล้ว อาศรัยเหตุนี้ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษข้อที่ปล่อยตัวนายปลื้ม นายเหมือน นายตาบผู้ใหญ่บ้านนั้นเสีย ให้ลงโทษจำคุกนายปลื้ม นายเหมือน นายตาบผู้ใหญ่บ้านฐานรับของโจรมีกำหนดคนละ ๔ ปีตามคำพิพากษาศาลจังหวัดสุพรรณบุรี
วันที่ ๑๓ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓