คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1965/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เรือนจำกลางนครศรีธรรมราชเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 47 ย่อมถือได้ว่าจำเลยมีที่อยู่ในเขตอำนาจศาล ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 22 (1) แต่บทกฎหมายดังกล่าวมิได้เป็นบทบังคับให้ศาลชั้นต้นที่จำเลยมีที่อยู่ในเขตอำนาจต้องรับชำระคดีที่โจทก์ฟ้อง จึงใช้ดุลพินิจที่จะรับชำระคดีเช่นว่านั้นหรือไม่ก็ได้ แม้ ป.วิ.อ. มาตรา 22 (1) ไม่ได้บัญญัติให้ศาลท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่หยิบยกเหตุเรื่องความไม่สะดวกของศาลที่รับชำระคดีมาเป็นเหตุไม่รับฟ้องหรือไม่ชำระคดี แต่การใช้ดุลพินิจที่จะรับชำระคดีหรือไม่ก็ต้องคำนึงถึงความสะดวกในการพิจารณาคดีด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2535 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยกับพวกอีกหลายคนร่วมกันมีอาวุธปืนสั้น ขนาด 11 มม. จำนวนหลายกระบอก ไม่มีหมายเลขทะเบียน และกระสุนปืน ขนาด 11 มม. หลายนัด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยกับพวกร่วมกันพาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปตามถนนสายเอเชีย ตำบลท่าโรงช้าง อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎรณ์ธานี อันเป็นเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับยกเว้นตามกฎหมาย จำเลยกับพวกร่วมกันปล้นทรัพย์ กุ้งกุลาดำ 5 ตัน ราคา 687,000 บาท และรถยนต์บรรทุกสิบล้อแบบตู้เย็น หมายเลขทะเบียน 80-1517 ตรัง ราคา 1,200,000 บาท ของนายพิสิษฐ์ ตั้งทรัพย์สถิต ผู้เสียหาย ซึ่งอยู่ในความควบคุมดูแลรักษาของนายประเทือง สำเภาทอง และนางสัมพันธ์ สำเภาทองหรือชูราช โดยจำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายประเทือง และนางสัมพันธ์ถึงแก่ความตาย และใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อความสะดวกในการกระทำความผิดปล้นเอาทรัพย์หรือพาทรัพย์นั้นไปเพื่อยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ เพื่อให้พ้นจากการจับกุม เพื่อปกปิดการกระทำความผิดอื่น และเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่จำเลยกับพวกได้กระทำ เหตุทั้งหมดเกิดที่ตำบลท่าโรงช้าง อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เจ้าพนักงานตำรวจยึดปลอกกระสุนปืน 3 ปลอก และรถยนต์บรรทุกสิบล้อของผู้เสียหาย เป็นของกลาง จำเลยถูกจำคุกที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช จำเลยจึงมีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลชั้นต้น จำเลยเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 503/2536 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289 (6) (7), 340 ตรี, 371, 33, 83, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง ให้จำเลยใช้ราคากุ้งกุลาดำเป็นเงิน 687,000 บาท แก่ผู้เสียหายและนับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 503/2536 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นเห็นว่า แม้เรือนจำกลางนครศรีธรรมราชจะเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 และถือได้ว่าจำเลยมีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22 (1) แต่ตามบทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับให้ศาลนี้ซึ่งเป็นศาลท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่ในเขตอำนาจต้องรับคดีที่โจทก์ฟ้อง หากแต่บัญญัติให้อยู่ในดุลพินิจของศาลนี้ที่จะรับชำระคดีในกรณีเช่นว่านั้นหรือไม่ก็ได้ เมื่อปรากฏว่ามูลความผิดคดีนี้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี และพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอพุนพินได้สอบสวนคดีนี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ปรากฏว่าหากมีการชำระคดีที่ศาลชั้นต้นจะเป็นการสะดวกยิ่งกว่าการชำระคดีที่ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นศาลท้องที่ที่ความผิดเกิดขึ้นอย่างไร จึงไม่มีเหตุที่จะรับชำระคดีนี้ ไม่รับคำฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เหตุคดีนี้เกิดขึ้นในเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี ขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 503/2536 ของศาลชั้นต้นให้จำคุกตลอดชีวิต โดยถูกจำคุกอยู่ที่เรือนจำกลางนครศรีธรรมราชมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า สมควรให้ศาลชั้นต้นชำระคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า แม้เรือนจำกลางนครศรีธรรมราชเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 ถือได้ว่า จำเลยมีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22 (1) แต่บทกฎหมายดังกล่าวไม่เป็นบทบัญญัติให้ศาลชั้นต้นที่จำเลยมีที่อยู่ในเขตอำนาจต้องรับชำระคดีที่โจทก์ฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงใช้ดุลพินิจที่จะรับชำระคดีเช่นว่านั้นหรือไม่ก็ได้ แม้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 22 (1) ไม่ได้บัญญัติให้ศาลท้องที่ที่จำเลยมีที่อยู่หยิบยกเหตุเรื่องความไม่สะดวกของศาลที่รับชำระคดีมาเป็นเหตุไม่รับฟ้องหรือไม่ชำระคดีดังที่โจทก์กล่าวอ้างในฎีกาก็ตาม แต่การใช้ดุลพินิจที่จะรับชำระคดีหรือไม่ต้องคำนึงถึงความสะดวกในการพิจารณาคดีด้วย เหตุคดีนี้เกิดขึ้นในท้องที่ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี และพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอพุนพินเป็นผู้สอบสวนคดี แสดงว่าพยานหลักฐานของโจทก์อยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี การส่งประเด็นไปสืบพยานโจทก์ก็ย่อมไม่สะดวกในการส่งตัวจำเลยตามประเด็นไปและส่งตัวกลับมาควบคุมที่เรียนจำกลางนครศรีธรรมราช ทั้งไม่ได้ความว่าหากมีการชำระคดีที่ศาลชั้นต้นแล้วจะสะดวกยิ่งกว่าการชำระคดีที่ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานีแต่อย่างใด ที่โจทก์อ้างว่าการย้ายจำเลยไปดำเนินคดีที่ศาลจังหวัดสุราษฎร์ธานี ไม่สามารถทำได้เพราะติดขัดเรื่องงบประมาณและความปลอดภัยในการย้ายนั้น เป็นเพียงปัญหาในทางปฏิบัติของกรมราชทัณฑ์ที่อาจแก้ไขและป้องกันได้กรณียังไม่มีเหตุสมควรให้ศาลชั้นต้นรับชำระคดี ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share