แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อการโอนกิจการระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟ. กับโจทก์ไม่มีหลักฐานจึงรับฟังไม่ได้ว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟ. กับโจทก์มีการควบรวมกิจการกันตามกฎหมาย แต่เป็นเรื่องห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟ. เลิกกิจการและมีการโอนทรัพย์สินรวมทั้งรถยนต์คันเกิดเหตุให้โจทก์ เมื่อขณะเกิดเหตุรถยนต์คันเกิดเหตุเป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟ. ผู้มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยและจำเลยร่วมทั้งสองรับผิดฐานละเมิดคือห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟ. โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย และการกระทำละเมิดเป็นเรื่องทำให้เจ้าของรถได้รับความเสียหายมิใช่ความเสียหายจะตกติดไปกับตัวรถ ผู้ใดที่ครอบครองรถต่อมาจึงไม่มีสิทธิฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 295,120.39 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 225,120.39 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอให้เรียกห้างหุ้นส่วนจำกัด ที.ไอ.เค ทรานสปอร์ต และบริษัทคุ้มเกล้าประกันภัย จำกัด (มหาชน) เข้าเป็นจำเลยร่วมโดยอ้างว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด ที.ไอ.เค ทรานปอร์ต เป็นนายจ้างและเจ้าของรถคันที่จำเลยขับและบริษัทคุ้มเกล้าประกันภัย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 73-6038 กรุงเทพมหานคร ศาลชั้นต้นอนุญาต โดยให้เรียกห้างหุ้นส่วนจำกัด ที.ไอ.เค ทรานสปอร์ต ว่าจำเลยร่วมที่ 1 และเรียกบริษัทคุ้มเกล้าประกันภัย จำกัด (มหาชน) ว่า จำเลยร่วมที่ 2
จำเลยร่วมที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยร่วมที่ 2 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ใช้ชื่อว่า บริษัทฟุกเทียนกรุ๊ป จำกัด รถยนต์บรรทุกหกล้อ หมายเลขทะเบียน 81-0532 นครศรีธรรมราช เป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟุกเทียนนครการเกษตร ซึ่งเป็นอีกนิติบุคคลหนึ่งประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัด เมื่อขณะเกิดเหตุรถยนต์บรรทุกพ่วง หมายเลขทะเบียน 73-6038 กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีจำเลยเป็นคนขับได้ขับเฉี่ยวชนกับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน 81-0532 นครศรีธรรมราช ซึ่งมีนายไพโรจน์ เป็นคนขับ
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟุกเทียนนครการเกษตร เป็นคนละนิติบุคคลแยกต่างหากจากกัน ได้ความจากนายมนูญ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์เบิกความว่า ปัจจุบันห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟุกเทียนนครการเกษตร เลิกดำเนินกิจการแล้ว โดยได้โอนทรัพย์สินรวมทั้งรถยนต์คันเกิดเหตุที่นายไพโรจน์ขับให้แก่โจทก์ แต่พยานปากนี้เบิกความตอบทนายจำเลยร่วมที่ 1 ถามค้านว่า ที่ว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟุกเทียนนครการเกษตร กับโจทก์ได้โอนกิจการกันนั้นไม่มีหลักฐาน ในสำนวนนี้ก็ไม่มีเช่นกัน จึงรับฟังไม่ได้ว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟุกเทียนนครการเกษตรกับโจทก์มีการควบรวมกิจการกันตามกฎหมาย แต่เป็นเรื่องห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟุกเทียนนครการเกษตร เลิกกิจการและมีการโอนทรัพย์สินรวมทั้งรถยนต์คันเกิดเหตุให้โจทก์ เมื่อขณะเกิดเหตุรถยนต์หมายเลขทะเบียน 81-0532 นครศรีธรรมราช เป็นของห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟุกเทียนนครการเกษตร และมีการกล่าวอ้างว่าจำเลยกระทำละเมิด ผู้ที่จะมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรวมทั้งจำเลยร่วมที่ 1 ในฐานะนายจ้างและเจ้าของรถยนต์คันที่จำเลยขับ และจำเลยร่วมที่ 2 ในฐานผู้รับประกันภัยค้ำจุนให้ร่วมกันรับผิดคือ ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟุกเทียนนครการเกษตร การที่ห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟุกเทียนนครการเกษตร เลิกกิจการไปไม่มีกฎหมายบัญญัติให้โจทก์ซึ่งแม้จะมีกรรมการหรือหุ้นส่วนผู้มีอำนาจเป็นบุคคลคนเดียวกันได้รับมรดก รวมทั้งสิทธิและหน้าที่ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ฟุกเทียนนครการเกษตรแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย และการกระทำละเมิดเป็นเรื่องทำให้เจ้าของรถได้รับความเสียหาย มิใช่ว่าความเสียหายจะตกติดไปกับตัวรถ ผู้ใดที่ครอบครองรถต่อมาจะมีสิทธิฟ้องได้ดังที่โจทก์กล่าวอ้าง โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ กรณีปัญหาเรื่องอำนาจฟ้อง แม้จำเลยร่วมทั้งสองเท่านั้นที่ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ ส่วนจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาจึงมิได้ยกเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นเป็นข้อต่อสู้ด้วย แต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจึงมีผลถึงจำเลยด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ