คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1961/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นของโจทก์แล้ว แม้จำเลยที่ 1 จะขอซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวคืนโดยอยู่ในระหว่างพิจารณาของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัทโจทก์ก็ตาม แต่ตราบใดที่โจทก์ยังมิได้ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายหรือโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 และบริวารได้
ส่วนผู้ร้องเป็นเพียงผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ แม้จะมีข้อตกลงว่าผู้ร้องจะเป็นผู้ที่รับผิดชอบในการดำเนินคดีนี้ ผู้ร้องก็มิใช่ผู้ที่ได้รับโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ตามคำพิพากษาแต่อย่างใด ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายทรัพย์สินและออกไปจากสิ่งปลูกสร้างในที่ดินโฉนดเลขที่ 34881 ตำบลปลายบาง (บางคูเวียงฝั่งใต้) อำเภอบางกรวย (บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี ให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 14,489,687 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีกเดือนละ 335,625 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทของโจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และบริวารขนย้ายทรัพย์สินและออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินโฉนดเลขที่ 34881 ตำบลปลายบาง (บางคูเวียงฝั่งใต้) อำเภอบางกรวย (บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี ของโจทก์ ให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายจำนวน 1,231,667 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 26 พฤษภาคม 2549) เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ในอัตราเดือนละ 50,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 1 และบริวารจะขนย้ายทรัพย์และออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างพิพาทดังกล่าวของโจทก์ กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์เฉพาะทุนทรัพย์ในส่วนที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนด ค่าทนายความให้ 10,000 บาท คำขออื่นให้ยก ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาบางส่วน โดยเสียค่าขึ้นศาล 10,000 บาท
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ชั้นอุทธรณ์ และค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ในศาลชั้นต้นให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาบางส่วน โดยเสียค่าขึ้นศาล 10,000 บาท
ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาบริษัทหงกวาง จำกัด ยื่นคำร้องว่าเป็นผู้ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ โดยผู้ร้องได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์และรับการส่งมอบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่พิพาทจากโจทก์แล้วเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2554 ผู้ร้องขอสวมสิทธิแทนโจทก์ในชั้นฎีกา
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ในการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้แก่ผู้ร้องแล้ว แต่เนื่องจากโจทก์ยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอสงวนสิทธิในฐานะเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในการบังคับคดีจำเลยที่ 1 ต่อไป
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการบริษัทบริหารสินทรัพย์ ตามหนังสือรับรองและใบทะเบียนบริษัทบริหารสินทรัพย์ โจทก์มอบอำนาจให้นายเจริญจิตร และนายมงคล ดำเนินคดีแทน ตามสำเนาหนังสือมอบอำนาจ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจตามหนังสือรับรอง เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2546 จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 34881 ตำบลปลายบาง (บางคูเวียงฝั่งใต้) อำเภอบางกรวย (บางใหญ่) จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างคือโกดังเก็บของชั้นเดียว 2 หลัง ขนาด 1,145 ตารางเมตร และอาคารสำนักงาน 5 ชั้น ขนาด 2,456 ตารางเมตร เลขที่ 9/5 หมู่ที่ 2 ตำบลปลายบาง อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ตามสำเนาบันทึกข้อตกลงเรื่องโอนชำระหนี้ และสำเนาโฉนดที่ดิน ให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด วันที่ 7 พฤษภาคม 2547 บริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด ทำสัญญาโอนกิจการของบริษัททั้งหมดให้แก่โจทก์รวมทั้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่รับโอนชำระหนี้จากจำเลยทั้งสองด้วย หลังจากโจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างมาแล้ว จำเลยที่ 1 และบริวารยังคงอาศัยอยู่ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า กรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ได้รับโอนชำระหนี้เป็นของโจทก์แล้ว แม้จำเลยที่ 1 จะขอซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไว้แล้วและอยู่ในระหว่างการพิจารณาก็ตาม แต่ตราบใดที่โจทก์เจ้าของกรรมสิทธิ์ยังมิได้ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายหรือโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่จำเลยที่ 1 โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 และบริวารได้อยู่ ทั้งยังปรากฏข้อเท็จจริงจากการไต่สวนคำร้องขอเข้าสวมสิทธิของบริษัทหงกวาง จำกัด ว่า เป็นผู้ที่ได้ซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เป็นของบริษัทหงกวาง จำกัด เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือเป็นผู้มีทรัพยสิทธิเหนือที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่จะสามารถยกข้อต่อสู้ขึ้นตัดเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อสุดท้ายว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ได้นำสืบแล้วว่า จำเลยที่ 2 ได้เลิกประกอบกิจการ ไม่มีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่สำหรับสิ่งปลูกสร้างจำนวนมาก หากจะฟังว่าจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในการใช้ที่ดินบางส่วนของโจทก์ จำเลยที่ 1 ก็ไม่ควรรับผิดเกินเดือนละ 5,000 บาท นั้น ปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยโดยชอบด้วยเหตุผลและเป็นธรรมแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 อีก ฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
ส่วนที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิในชั้นฎีกา ศาลฎีกาพิจารณาแล้วข้อเท็จจริงได้ความตามที่ศาลชั้นต้นไต่สวนว่า ผู้ร้องเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามสำเนาหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินและโฉนดที่ดิน เห็นว่า ผู้ร้องเป็นเพียงผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แม้จะมีข้อตกลงว่าผู้ร้องจะเป็นผู้ที่รับผิดชอบในการดำเนินคดีนี้ ผู้ร้องก็มิใช่ผู้ที่ได้รับโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ตามคำพิพากษาแต่อย่างใด ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ในชั้นฎีกา
พิพากษายืน แต่ให้ยกคำร้องขอสวมสิทธิในชั้นฎีกาของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาทั้งหมดให้เป็นพับ

Share