แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของผู้ร้องโดยไม่ชอบเพราะผู้ร้องไม่ได้เป็นลูกหนี้โจทก์ ผู้ร้องและจำเลยที่ 1 มีชื่อและชื่อสกุลซ้ำกัน เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ภาค 4 ลักษณะ 2 ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง และมีคำขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีเสียทั้งหมดตั้งแต่มีการยึดทรัพย์ หาใช่เป็นคำร้องขัดทรัพย์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 288 ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่ และตามคำร้องดังกล่าวเป็นคำร้องที่เสนอเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ซึ่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 7 (2) บัญญัติให้เสนอต่อศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดีตามมาตรา 302
การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของผู้ร้องซึ่งมิใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีผลให้กระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการมาทั้งหมดย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าการบังคับคดีได้เสร็จลงแล้ว ก็ไม่อาจนำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ภาค 4 ลักษณะ 2 ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาใช้บังคับแก่ผู้ร้องได้ เพราะผู้ร้องมิใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ การขายทอดตลาด รวมทั้งกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีเสียทั้งหมดเพื่อให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามที่เห็นสมควร ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 และมาตรา 296 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีของผู้ร้องโดยมิได้ไต่สวนคำร้องเสียก่อน และศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้องนั้น จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาคดีไปโดยไม่ชอบ
เมื่อคดีปรากฏเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ.ว่าด้วยการพิจารณา จึงต้องยกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 243 (2) ประกอบมาตรา 247 แล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องแล้วมีคำสั่งตามรูปคดีต่อไป
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์กับจำเลยทั้งสองตกลงประนีประนอมยอมความกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดนัด โจทก์ขอบังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินโฉนดเลขที่ 14770 ตำบลป่าระกำ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช และขายทอดตลาดไปแล้ว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 14770 ตำบลป่าระกำ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและขายทอดตลาดนั้นเป็นของผู้ร้อง ไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา ขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์และกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี
โจทก์และจำเลยที่ 1 ไม่ยื่นคำคัดค้าน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำร้องของผู้ร้องเป็นการร้องขัดทรัพย์ แต่ผู้ร้องมิได้ยื่นคำขอภายใน 15 วัน นับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้โจทก์ยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลง เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด ให้จำหน่ายคดีของผู้ร้องออกจากสารบบความ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกอุทธรณ์ คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จำหน่ายคดีของผู้ร้องออกจากสารบบความและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องชอบหรือไม่ ผู้ร้องฎีกาว่า ผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 14770 ตำบลป่าระกำ อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช และไม่ได้เป็นลูกหนี้โจทก์ โจทก์ยึดที่ดินของผู้ร้องโดยไม่ชอบ และเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่แจ้งคำสั่งศาลที่อนุญาตให้ขายทอดตลาดและวันขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทราบ เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ 2 ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งคำร้องของผู้ร้องมิใช่เป็นคำร้องขัดทรัพย์ แต่ผู้ร้องประสงค์ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องในคดีนี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิยื่นคำร้องในคดีนี้จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า ตามคำร้องของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 7 มกราคม 2557 ผู้ร้องอ้างว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 14770 ที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและขายทอดตลาดนั้นเป็นของผู้ร้อง ไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 ผู้ร้องไม่ได้เป็นลูกหนี้โจทก์และไม่มีนิติสัมพันธ์ใด ๆ กับโจทก์ ผู้ร้องและจำเลยที่ 1 มีชื่อและชื่อสกุลตรงกัน แต่มีเลขประจำตัวประชาชน อายุ ที่อยู่ และชื่อบิดามารดาของผู้ร้อง และจำเลยที่ 1 แตกต่างกัน ผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 เป็นคนละคนกัน ทั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้แจ้งขั้นตอนต่าง ๆ ในการบังคับคดีและประกาศขายทอดตลาดให้ผู้ร้องทราบแต่อย่างใด ขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์และกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดี ตามคำร้องของผู้ร้องดังกล่าวเป็นเรื่องที่ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของผู้ร้องโดยไม่ชอบเพราะผู้ร้องไม่ได้เป็นลูกหนี้โจทก์ ผู้ร้องและจำเลยที่ 1 มีชื่อและชื่อสกุลซ้ำกัน เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ 2 ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง และมีคำขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีเสียทั้งหมดตั้งแต่มีการยึดทรัพย์ หาใช่เป็นคำร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยไม่ และตามคำร้องดังกล่าวเป็นคำร้องที่เสนอเกี่ยวเนื่องกับการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7 (2) บัญญัติให้เสนอต่อศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดีตามมาตรา 302 และตามบทบัญญัติมาตรา 302 วรรคหนึ่ง ศาลที่มีอำนาจออกหมายบังคับคดีหรือมีอำนาจทำคำวินิจฉัยในเรื่องใด ๆ อันเกี่ยวด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง คือ ศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นต้น ดังนั้น ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องในคดีนี้ต่อศาลจังหวัดปากพนังซึ่งเป็นศาลที่มีอำนาจในการบังคับคดีหรือศาลที่ได้พิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีในชั้นต้นตามกฎหมายดังกล่าว ผู้ร้องบรรยายในคำร้องแจ้งชัดว่า ผู้ร้องไม่ได้เป็นลูกหนี้โจทก์ ผู้ร้องกับจำเลยที่ 1 เป็นคนละคนกันแต่มีชื่อและชื่อสกุลซ้ำกัน โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของผู้ร้องโดยไม่ชอบ โดยผู้ร้องได้แนบสำเนารายการเกี่ยวกับบ้านของผู้ร้องและสำเนาแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎรของจำเลยที่ 1 มาท้ายคำร้อง ซึ่งในเบื้องต้นเห็นได้ว่าผู้ร้องและจำเลยที่ 1 มีชื่อและชื่อสกุลซ้ำกันจริง แต่เลขประจำตัวประชาชน อายุ ที่อยู่ และชื่อบิดามารดาของผู้ร้องและจำเลยที่ 1 แตกต่างกัน และจำเลยที่ 1 แถลงยอมรับตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 25 เมษายน 2557 ว่าที่ดินตามคำร้องไม่ใช่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งหากข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำร้องว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินแปลงดังกล่าวจริง การที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของผู้ร้องซึ่งมิใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย มีผลให้กระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีที่เจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการมาทั้งหมดย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าการบังคับคดีได้เสร็จลงแล้ว ก็ไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค 4 ลักษณะ 2 ว่าด้วยการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งมาใช้บังคับแก่ผู้ร้องได้ เพราะผู้ร้องมิใช่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาของโจทก์ ซึ่งศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ การขายทอดตลาด รวมทั้งกระบวนพิจารณาในชั้นบังคับคดีเสียทั้งหมดเพื่อให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามที่เห็นสมควร ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 และมาตรา 296 กรณีเช่นนี้ศาลชั้นต้นชอบที่จะไต่สวนคำร้องของผู้ร้องให้ได้ข้อเท็จจริงเป็นที่แน่ชัดเสียก่อนว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดและขายทอดตลาดหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีของผู้ร้องโดยมิได้ไต่สวนคำร้องเสียก่อน และศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกอุทธรณ์ของผู้ร้องนั้น จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาคดีไปโดยไม่ชอบ ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น เมื่อคดีปรากฏเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณา จึงต้องยกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 (2) ประกอบมาตรา 247 แล้วย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องแล้วมีคำสั่งตามรูปคดีต่อไป
พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องฉบับลงวันที่ 7 มกราคม 2557 แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งใหม่