คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

บริเวณที่ตรวจค้นพบเฮโรอีนของกลางเป็นที่นั่งพักผ่อนของผู้ต้องขังทั่วไปและขณะที่ตรวจค้นก็มีผู้ต้องขังทำงานอยู่บริเวณใกล้เคียงประมาณ100คนโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยเอาเฮโรอีนของกลางไปซ่อนไว้ในที่ค้นพบทั้งไม่มีคนเห็นว่าจำเลยได้ขายเฮโรอีนให้ภ. คำซัดทอดของภ. เป็นพยานบอกเล่าสำหรับธนบัตรจำนวน472บาทกับยาชนิดแคปซูล39เม็ดและใบเลื่อยตัดเหล็ก1ใบที่ซ่อนอยู่ใต้เสื้อที่ตรวจค้นพบเฮโรอีนของกลางนั้นก็มีผู้ต้องขังอื่นอีก2คนแสดงตนเป็นเจ้าของส่วนใบเลื่อยกับยาแคปซูลก็ไม่ปรากฎว่าเป็นของจำเลยการที่พยานโจทก์เบิกความว่าจำเลยเป็นผู้นำตรวจค้นและรับว่าเสื้อยืด3ตัวที่วางทับขวดซึ่งมีเฮโรอีนซ่อนอยู่เป็นของตนซึ่งหากจำเลยเป็นคนเอาเฮโรอีนไปซ่อนไว้ตรงนั้นก็คงไม่กล้าพาเจ้าหน้าที่ไปตรวจค้นใต้กองเสื้อนั้นน่าจะพาไปตรวจค้นยังจุดอื่นทั้งเสื้อที่กองอยู่ก็ไม่มีชื่อจำเลยติดอยู่หากจำเลยซ่อนเฮโรอีนไว้และถูกจับได้ก็สามารถปฏิเสธได้ว่ามิใช่เสื้อของจำเลยแต่เมื่อจำเลยยอมรับว่าเป็นเสื้อของตนโดยดีแสดงว่ามีความบริสุทธิ์ใจและไม่รู้ว่ามีคนเอาเฮโรอีนไปซ่อนไว้ใต้เสื้อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟังว่าเฮโรอีนของกลางเป็นของจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 8, 26, 67, 97, 102 ริบของกลาง เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย และนับโทษของจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5053/2533 ของศาลชั้นต้นด้วย
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ และอยู่ในระหว่างต้องโทษในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอเพิ่มโทษจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67 ลงโทษจำคุก 2 ปี จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกตามพระราชบัญญัตินี้ในระหว่างต้องโทษมากระทำความผิดคดีนี้อีก เพิ่มโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 97 กึ่งหนึ่งเป็นจำคุก 3 ปี และให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 5053/2533 ของศาลชั้นต้น ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ เฮโรอีนของกลางมีไว้เป็นความผิดจึงให้ริบ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า จำเลยเป็นนักโทษต้องขังอยู่ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม แขวงลาดยาว เขตจตุจักรกรุงเทพมหานคร ก่อนเกิดเหตุนายบุญลือ ดุลย์มา เจ้าหน้าที่อบรมและฝึกวิชาชีพ 2 ปฏิบัติหน้าที่ประจำโรงงาน 2 สืบทราบว่า มีนักโทษลักลอบเสพเฮโรอีนโดยซื้อมาจากจำเลย วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2538เวลา 15 นาฬิกา จึงได้ไปที่โรงงาน 2 แดน 3 พร้อมกับนายมงคล จันทร์ต๊ะวงศ์ เจ้าหน้าที่ควบคุมและผู้ต้องขังซึ่งเป็นผู้ช่วยเหลืออีก 3 คน และจำเลย ทำการตรวจค้นภายในโรงงานบริเวณที่นั่งพักผ่อน พบขวดเป๊ปซี่เปล่าขนาด 2 ลิตร วางอยู่ 4 ขวดโดยมีเสื้อยืดของจำเลย 3 ตัว วางทับอยู่ จากการตรวจค้นพบหลอดยาหอมตราห้าเจดีย์ 1 หลอด ซุกซ่อนอยู่ในขวดเป๊ปซี่โดยพันด้วยผ้าเทปไว้เมื่อเปิดออกดูปรากฎว่ามีเฮโรอีนบรรจุอยู่ภายใน จึงแจ้งข้อหาจำเลยว่ามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำเลยให้การปฏิเสธตามบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.3 หลังจากนั้นนายบุญลือได้ทำบันทึกรายงานเสนอผู้บังคับบัญชา และผู้บังคับบัญชาให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนความผิด ตามเอกสารหมาย จ.2 และจ.4 ต่อมาผู้บัญชาการเรือนจำกลางคลองเปรมมีหนังสือถึงผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลประชาชื่นให้ดำเนินคดีแก่จำเลย พร้อมส่งเฮโรอีนของกลางในคดีไปด้วยตามเอกสารหมาย จ.5 ชั้นสอบสวนร้อยตำรวจตรีชุมพลพิศลย์กุลพันธ์ แจ้งข้อหาจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำเลยให้การปฏิเสธส่วนของกลางได้ส่งไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจปรากฏว่าเป็นเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์หนัก 0.18 กรัม ตามเอกสารหมาย จ.7
จำเลยนำสืบว่า จำเลยต้องโทษอยู่ในแดน 3 เรือนจำกลางคลองเปรมและมีชื่อทำงานในโรงงาน 2 แต่จ้างนักโทษอื่นทำงานแทนวันเกิดเหตุคือวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2538 ซึ่งเป็นวันพฤหัสบดี ตามระเบียบของเรือนจำกลางคลองเปรมให้เยี่ยมผู้ต้องขังชาวต่างประเทศได้มีมิชชั่นนารีชื่อภราดา โฮม มาเยื่ยมจำเลยเวลา 13 นาฬิกาตามเอกสารหมาย ล.1 และจำเลยได้กลับมาแดน 3 เวลา 15 นาฬิกานายวินัยซึ่งเป็นนักโทษและเป็นผู้ช่วยผู้คุมกับผู้คุมได้มาค้นตัวและตู้เก็บสิ่งของจำเลยแต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย หลังจากนั้นผู้คุมและนายวินัยได้กล่าวหาว่าจำเลยเป็นผู้ขายเฮโรอีนให้นักโทษพร้อมทั้งได้นำกระดาษมาให้ลงลายมือชื่อ แต่จำเลยไม่ยอมและให้การปฏิเสธ หลังเกิดเหตุแล้วจำเลยถูกแยกไปขังเดี่ยวนายจำนงค์ นาคสุข เจ้าหน้าที่ควบคุมแดน 3 ได้รับรายงานจากนายบุญลือ ดุลย์มา เกี่ยวกับการจับกุมเฮโรอีนตามเอกสารหมาย จ.2เอกสารดังกล่าวระบุเพียงว่าพบเฮโรอีนอยู่ในกองผ้าของผู้ต้องขังชาวต่างประเทศไม่ได้ระบุว่าพบอยู่ในกองผ้าของจำเลย และจำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้รู้เห็นและเป็นเจ้าของเฮโรอีน ส่วนเงินสดที่ค้นได้นั้นมีชาวไนจีเรีย 2 คน รับว่าเป็นของตน
พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบโดยจำเลยมิได้โต้เถียงให้เห็นเป็นอย่างอื่นว่าตามวันและเวลาเกิดเหตุ นายบุญลือ ดุลย์มาเจ้าหน้าที่อบรมและฝึกวิชาชีพ 2ปฏิบัติหน้าที่ประจำอยู่โรงงานเรือนจำกลางคลองเปรมกับนายมงคลจันทร์ต๊ะวงศ์ เจ้าหน้าที่ควบคุมและผู้ต้องขังซึ่งเป็นผู้ช่วยเหลืออีก 3 คนได้ไปตรวจที่โรงงาน 2 แดน 3 ที่จำเลยฝึกงานอยู่เนื่องจากสืบทราบว่ามีนักโทษลักลอบเสพเฮโรอีนได้ตรวจค้นบริเวณที่พวกนักโทษนั่งพักผ่อนพบขวดเป๊ปซี่เปล่าขนาด 2 ลิตร จำนวน 4 ขวดวางไว้ที่พื้นติดกำแพงโดยมีเสื้อยืด 3 ตัว วางทับไว้ พบหลอดยาหอมตราห้าเจดีย์ 1 หลอด ซ่อนอยู่ในขวดเป๊ปซี่โดยมีผ้าเทปพันไว้ เมื่อเปิดออกดูพบเฮโรอีน 1 หลอด ซ่อนอยู่ข้างในจึงยึดมาเป็นของกลางและกล่าวหาว่าจำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การปฏิเสธ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์จึงมีว่าเฮโรอีนของกลางเป็นของจำเลยหรือไม่ เห็นว่าโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นว่าจำเลยเป็นคนเอาเฮโรอีนของกลางไปซ่อนไว้ในที่ค้นพบทั้งไม่มีคนเห็นว่าจำเลยได้ขายเฮโรอีนให้นายโภคิน แซ่อึ้งคำซัดทอดของนายโภคินจึงเป็นพยานบอกเล่าตามคำของนายบุญลือกับนายมงคลพยานโจทก์ได้ความว่า นอกจากค้นพบเฮโรอีนของกลางแล้วยังพบธนบัตรจำนวน 472 บาท กับยาชนิดแคปซูล 39 เม็ด และใบเลื่อยตัดเหล็ก 1 ใบ ซ่อนอยู่ใต้เสื้อนั้นด้วย แต่เงิน 472 บาทนั้นผู้ต้องขังชื่อนายเฮนรี่ ไอโยฮา กับนายเจ.เอ็น โอกัวฟอร์แสดงตนเป็นเจ้าของ ใบเลื่อยกับยาแคปซูลก็ไม่ปรากฏว่าเป็นของจำเลยบริเวณที่ตรวจค้นพบเฮโรอีนของกลางนั้นก็เป็นที่นั่งพักผ่อนของผู้ต้องขังทั่วไป ขณะเข้าทำการตรวจค้นก็มีผู้ต้องขังทำงานอยู่ในโรงงานแดน 2 นั้น ประมาณ 100 คน นายเฮนรี่กับนายเจ.เอ็นยังเอาเงินไปซ่อนไว้ใต้เสื้อนั้นได้ อาจจะมีผู้ต้องขังคนอื่นนำเฮโรอีนของกลางไปซ่อนไว้ก็ได้ และนายบุญลือว่าจำเลยเป็นผู้นำตรวจค้นและรับว่าเสื้อยืด 3 ตัว นั้นเป็นของจำเลย ซึ่งหากจำเลยเป็นคนเอาเฮโรอีนไปซ่อนไว้ตรงนั้นก็คงไม่กล้าพาเจ้าหน้าที่ไปตรวจค้นใต้กองเสื้อนั้นน่าจะพาไปตรวจค้นยังจุดอื่น ทั้งเสื้อที่กองอยู่ก็ไม่มีชื่อจำเลยติดอยู่ หากจำเลยซ่อนเฮโรอีนไว้และถูกจับได้จำเลยก็สามารถปฏิเสธได้ว่ามิใช่เสื้อของจำเลย แต่จำเลยยอมรับว่าเป็นเสื้อของจำเลยโดยดี ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีความบริสุทธิ์ใจและไม่รู้ว่ามีคนเอาเฮโรอีนซ่อนไว้ใต้เสื้อ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบยังไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟังว่าเฮโรอีนของกลางเป็นของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share