คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 410/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บุคคลในภาวะที่ขับรถมาจะสวนกัน คนหนึ่งจะเลี้ยวเข้าทางแยกทางขวามือตนซึ่งจะต้องข้ามทางของรถที่สวนมาและอีกคนหนึ่งก็จะต้องแล่นผ่านทางแยกนั้น และผ่านรถของคนแรกเช่นนั้นจักต้องมีความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ ดังนี้ การที่จำเลยที่ 2 จะเลี้ยวขวาเข้าทางแยกแต่มิได้ระมัดระวังหยุดรอในทางวิ่งรถตนและกลับเข้าไปหยุดรออยู่ล้ำเข้าไปในทางของรถจำเลยที่ 1 กีดขวางแก่การจราจรรถจำเลยที่ 1 รถจำเลยที่ 1 จะผ่านทางแยกและผ่านรถจำเลยที่ 2 แต่มิได้ระมัดระวังลดความเร็ว ได้แล่นมาอย่างเร็วมากจะผ่านทางแยกก็เห็นรถจำเลยที่ 2 ตั้งแต่ยังห่าง 6-8 เมตร ก็มิได้หยุดมิได้หักหลบจนเมื่อห่าง 4 เมตร จึงเบรคความเร็วมากเกินสมควรที่จะหยุดได้ทัน จึงหลบให้พ้น ทำให้ด้านขวาตอนกลางรถ (กะบะ) จำเลยที่ 1 ไม่พ้น และเฉี่ยวถูกด้านขวารถจำเลยที่ 2 ทำให้ปุ่มเหล็กปิดท้ายกะบะโดนหัวนางสาวปราณีซึ่งนั่งในรถจำเลยที่ 2 ตายดังนี้จำเลยทั้งสองจึงชื่อว่ากระทำการขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้นางสาวปราณีตาย ผิดมาตรา 291

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เวลากลางคืนจำเลยทั้ง 2 ขับรถโดยประมาทปราศจากความระมัดระวังทำให้ส่วนท้ายรถด้านขวาทั้ง 2 คันกระแทกกัน และรถจำเลยที่ 1 กระแทกศีรษะนางสาวปราณีผู้โดยสารมาในรถจำเลยที่ 2 มีบาดแผลฉกรรจ์ถึงแก่ความตาย และจำเลยที่ 1 มีห้ามล้อใช้การไม่ได้ขอให้ลงโทษ

จำเลยทั้ง 2 ให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 2 ผิดตามมาตราที่โจทก์ขอลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกคนละ 6 ปีถอนใบอนุญาตขับขี่จำเลยทั้ง 2

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 1 มิได้ประมาท จำเลยที่ 2 มิได้ถูกฟ้องว่ากระทำผิดกฎกระทรวงข้อ 13(1) (ข) พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 2 มิได้กระทำผิดกฎกระทรวงข้อ 12(1) (ข) จำเลยที่ 1 ผิดฐานเดียวตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก 2477ฉบับที่ 3 มาตรา 66 กฎกระทรวงข้อ 13 ให้ปรับ 100 บาท ถอนใบอนุญาตจำเลยที่ 2 คนเดียว นอกนั้นยืน

โจทก์ จำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า ผู้ตายโดยสารรถยนต์สามล้อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับผ่านวงเวียนใหญ่ไปตามถนนอินทรพิทักษ์เลยสะพานลาดหญ้าจะเข้าตรอกวัดใหญ่ศรีสุพรรณซึ่งอยู่ขวามือ ก็มีรถจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขับสวนมาโดนกันบนถนนตอนที่มีตรอกวัดนั้น ขณะเกิดเหตุไม่มีรถอื่นถนนไฟสว่าง รถจำเลยทั้งสองเปิดไฟสว่าง ถนนตอนนั้นเป็นทางตรงย่อมเห็น ย่อมได้ยินกันได้แต่ไกล ไม่มีเส้นแบ่งครึ่งถนน ซึ่งบุคคลในภาวะที่ขับรถมาจะสวนกัน คนหนึ่งจะเลี้ยวเข้าทางแยกทางขวามือตน ซึ่งจะต้องข้ามทางของรถที่จะสวนมา และอีกคนหนึ่งก็จะต้องแล่นผ่านทางแยกนั้น และฝ่านรถของคนแรกเช่นนั้น จักต้องมีความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์ แต่จำเลยทั้ง 2 หาได้ใช้ความระมัดระวังให้เพียงพอไม่ กล่าวคือจำเลยที่ 2 จะเลี้ยวขวาเข้าทางแยกมิได้ระมัดระวังหยุดรถอยู่ในทางวิ่งของตน กลับเข้าไปหยุดรออยู่ล้ำเข้าไปในทางวิ่งรถจำเลยที่ 1 กีดขวางแก่การจราจรรถจำเลยที่ 1 เกือบ 1 เมตร จำเลยที่ 1 จะผ่านทางแยกและผ่านรถจำเลยที่ 2 มิได้ลดความเร็วลงให้ช้าพอสมควรให้พอหยุดรถได้ทัน หรือพอให้หักหลบซ้ายให้พ้นและแล่นเร็วมากครั้นจะผ่านตรอกวัดก็ได้เห็นรถจำเลยที่ 2 ตั้งแต่ยังห่าง 3-4 วา หรือ 6-8 เมตร แต่จำเลยที่ 1 มิได้หยุดรถ มิได้หักรถหลบเพื่อมิให้โดน จนเมื่อมาห่างรถจำเลยที่ 1 สองวา หรือ 4 เมตร เห็นรถจำเลยที่ 2 เปิดไฟเลี้ยว จำเลยที่ 1 เพิ่งเบรค ความเร็วรถจำเลยที่ 1 มากเกินสมควรแก่ที่จะหยุดได้ทัน หรือหลบให้พ้นสำหรับระยะเช่นนั้น ทำให้ด้านขวาพ้น แต่ตอนกลางรถ (กะบะ) จำเลยที่ 1 ไม่พ้นและเฉี่ยวถูกด้านขวารถจำเลยที่ 2 เสียหาย ทำให้ปุ่มเหล็กปิดท้ายกะบะด้านขวารถจำเลยที่ 1 โอนหัวนางสาวปราณีแตกตาย จำเลยทั้ง 2 จึงเชื่อว่าขับรถประมาทและเป็นเหตุให้นางสาวปราณีตาย พิพากษาแก้ว่าจำเลยทั้ง 2 ผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พ.ร.บ.จราจรฯ 2477 มาตรา 29 ข้อ 4 มาตรา 66 และจำเลยที่ 1 ผิดกฎกระทรวงมหาดไทยออกตาม พ.ร.บ.จราจรฯ 2477 (ฉบับที่ 2) ข้อ 13(1) (ข) ลงโทษตามมาตรา 291 ซึ่งมีโทษหนัก จำคุกคนละ 6 ปี นอกนั้นยืน

Share