แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่ ถ. ทำหนังสือมอบโอนบ้านและที่ดินให้จำเลยเมื่อที่ดินนั้นเป็นที่ดินมือเปล่า และจำเลยเป็นผู้อาศัยอยู่ในที่ดินนั้น เป็นการแสดงเจตนาสละการครอบครองและส่งมอบที่ดินให้จำเลย การยึดถือที่ดินของจำเลยหลังจากนั้นจึงเป็นการยึดถือเพื่อตน ย่อมได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดินและเมื่อบ้านเป็นส่วนควบของที่ดินจึงตกได้แก่จำเลยผู้มีสิทธิในที่ดินด้วย โดยไม่ต้องทำนิติกรรมการโอนและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อย่างใดอีก ถึงแม้ต่อมาจำเลยกับ ถ. จะได้ตกลงกันว่าการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินจะโอนให้เมื่อออก น.ส. 3 ก เสร็จแล้ว ก็ไม่กระทบกระเทือนถึงสิทธิครอบครองในที่ดินและบ้านที่จำเลยได้รับการยกให้มาก่อนแล้ว
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงได้ความตามฟ้องคำให้การ และคำแถลงรับของโจทก์ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่29 สิงหาคม 2523 ว่าเดิมโจทก์เป็นภรรยาของนายถา ศรีโยธี ต่อมาโจทก์กับนายถาจดทะเบียนหย่าขาดจากกันเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์2522 แล้วนายถามาได้จำเลยเป็นภรรยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรสที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่ามีบ้านพิพาทปลูกอยู่ในที่ดินแปลงนี้ด้วยที่ดินและบ้านพิพาทเดิมเป็นของนายถา ศรีโยธี และนายถายกที่ดินและบ้านพิพาทให้จำเลยเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2523 ตามภาพถ่ายเอกสารท้ายคำให้การในขณะที่จำเลยอยู่กินเป็นภรรยานายถาดังกล่าวนั้น และจำเลยได้ครอบครองอยู่อาศัยในที่ดินและบ้านพิพาทตลอดมา ครั้นวันที่ 7เมษายน 2523 โจทก์กลับมาจดทะเบียนสมรสกับนายถาใหม่ ต่อมาวันที่ 21 พฤษภาคม 2523 นายถาได้ยกที่ดินและบ้านพิพาทให้โจทก์โดยจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์จึงมาฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาทโดยกล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาท โดยได้รับยกให้มาจากนายถาดังกล่าวแล้ว” ฯลฯ
“ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า นายถา ศรีโยธี จึงมีแต่เพียงสิทธิครอบครองในที่ดิน การที่นายถาทำหนังสือลงวันที่ 20 มีนาคม 2523ตกลงมอบโอนบ้านพร้อมด้วยที่ดินพิพาทให้จำเลยตามภาพถ่ายเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1 นั้น เป็นการที่นายถาสละเจตนาครอบครองและส่งมอบที่ดินให้จำเลย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1377,1378 สิทธิครอบครองของนายถาในที่ดินย่อมสิ้นสุดลงในวันดังกล่าวนั้นและเมื่อในขณะนั้นจำเลยเป็นผู้อยู่อาศัยในที่ดิน การยึดถือที่ดินของจำเลยต่อมาจึงเป็นการยึดถือโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตน จำเลยย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองในที่ดิน และเมื่อบ้านพิพาทเป็นส่วนควบของที่ดิน จึงตกได้แก่จำเลยผู้มีสิทธิในที่ดินด้วย ทั้งนี้โดยไม่จำต้องกระทำนิติกรรมการโอนและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่แต่อย่างใดอีก ข้อที่โจทก์ฎีกาด้วยว่าตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 2 นายถากับจำเลยได้ตกลงกันว่าสำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้จะโอนให้ต่อเมื่อนายถา ศรีโยธี ทำ น.ส.3 ก. เสร็จเรียบร้อย ค่าโอนและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ จำเลยจะเป็นผู้ชำระเองแสดงเจตนาของนายถากับจำเลยว่าจะต้องไปทำนิติกรรมและจดทะเบียนการโอนกันเสียก่อน เมื่อนายถาไม่ได้จดทะเบียนโอนให้จำเลยจึงยังไม่ได้สละเจตนาและส่งมอบการครอบครองทรัพย์พิพาทให้จำเลยจำเลยจึงยังไม่ได้ สิทธิครอบครองนั้น เห็นว่าเอกสารตามภาพถ่ายท้ายคำให้การหมายเลข 2 นี้ นายถากับจำเลยได้ร่วมกันกระทำขึ้นภายหลังวันที่ 20 มีนาคม 2523 กล่าวคือได้ร่วมไปกระทำต่อหน้านายอำเภอเมื่อวันที่ 17 เมษายน 2523 ข้อความดังกล่าวในเอกสารฉบับนี้เป็นเพียงการที่นายถากับจำเลยแสดงเจตนายืนยันว่าที่ดินและบ้านพิพาทที่นายถาได้ยกให้จำเลยไปแล้วนั้น เมื่อนายถาทำ น.ส.3 ก. เสร็จแล้วจะได้มาทำการโอน น.ส.3 ก. ให้กับจำเลยด้วยเท่านั้น หามีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิครอบครองในที่ดินและบ้านพิพาทที่โจทก์ได้รับยกให้จากนายถาไปก่อนแล้วตามภาพถ่ายเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข 1 ลงวันที่ 20มีนาคม 2523 แต่ประการใดไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ในวันที่ 21 พฤษภาคม 2523ซึ่งเป็นวันที่นายถาทำนิติกรรมและจดทะเบียนยกที่ดินและบ้านพิพาทให้โจทก์ นายถาจึงไม่ใช่ผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินและบ้านพิพาท โจทก์เป็นผู้รับโอนจึงไม่มีสิทธิดีไปกว่านายถาผู้โอน โจทก์ย่อมไม่ได้รับสิทธิครอบครองในที่ดินและบ้านพิพาทไปจากนายถาแต่อย่างใด”
พิพากษายืน