แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามลักทรัพย์แต่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์ แต่จำเลยใช้ค้อนทุบกระจกด้านข้าง ตู้.เอ.ที.เอ็ม.ของธนาคารผู้เสียหายแตกเสียหาย ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ และการที่จำเลยนำสืบรับข้อเท็จจริงตามที่โจทก์กล่าวบรรยายในฟ้องว่าจำเลยได้ใช้ค้อนทุบกระจกผู้เสียหายแตกได้รับความเสียหายจริงแต่กระทำเพื่อระบายความเครียด เช่นนี้จำเลยจึงมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2540 เวลากลางคืนก่อนเที่ยง จำเลยใช้ค้อนยาวประมาณ 30 เซนติเมตร จำนวน1 ด้าม ทุบผนังกระจกธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)สาขาย่อยถนนสุขาภิบาล 1 ผู้เสียหายจนแตกเสียหาย อันเป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์แล้วลักเอาธนบัตรชนิดต่าง ๆ จำนวน 2,000,000 บาท ของผู้เสียหายที่เก็บไว้ในเครื่องเบิกเงินอัตโนมัติไปโดยทุจริต จำเลยลงมือกระทำความผิดแล้วแต่กระทำไปไม่ตลอด เนื่องจากเจ้าพนักงานพบการกระทำความผิดและจับจำเลยได้พร้อมค้อน 1 ด้าม ถุงมือ 1 คู่และกระเป๋า 1 ใบไว้เป็นของกลาง จำเลยจึงไม่สามารถลักเอาธนบัตรของผู้เสียหายไปได้ เหตุเกิดที่แขวงบางแค เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานครขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 80, 33 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(3) วรรคสาม ประกอบมาตรา 80 จำคุก 4 ปีลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน ริบของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ของกลางคืนเจ้าของ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยได้ใช้ค้อนทุบกระจกด้านข้างเครื่องเบิกเงินอัตโนมัติหรือตู้ เอ.ที.เอ็ม. ของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยถนนสุขาภิบาล 1แตกเสียหาย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีสิบตำรวจตรีโกวิท ภูหนองโอง มาเบิกความเป็นพยานว่าวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 2 นาฬิกา ขณะที่พยานออกตรวจท้องที่ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุกรุงธนว่ามีคนร้ายเข้าไปในธนาคารกสิกรไทย จำกัด สาขาย่อยถนนสุขาภิบาล 1จึงเดินทางไปยังที่เกิดเหตุใช้เวลาประมาณ 5 นาทีพบเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 คน และพบจำเลยกำลังวิ่งห่างจากธนาคารประมาณ 50 เมตร จึงติดตามจับกุมจำเลยได้ จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุพบว่ามีกระจกที่ผนังของธนาคารแตกขนาดแมวลอดเข้าไปได้เพียงแห่งเดียว ไม่มีรอยงัดแงะอย่างอื่นตู้ เอ.ที.เอ็ม. ไม่ได้รับความเสียหาย นายอำนาจ เลิศพูลทรัพย์ พยานโจทก์อีกปากหนึ่งซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารที่เกิดเหตุเบิกความว่าคืนเกิดเหตุเมื่อได้รับแจ้งว่ามีคนร้ายมาทำลายทรัพย์สินและจะเข้าไปลักทรัพย์ของธนาคารจึงได้ไปยังที่เกิดเหตุพบว่ากระจกด้านข้างตู้ เอ.ที.เอ็ม. ซึ่งมีเงินในตู้ประมาณ 2,000,000 บาท ถูกทุบแตกปรากฏตามภาพถ่ายหมาย จ.6 รอยกระจกที่แตกไม่เกี่ยวกับตู้ เอ.ที.เอ็ม. ตู้ เอ.ที.เอ็ม. ไม่มีร่องรอยความเสียหายเห็นว่า แม้จำเลยจะใช้ค้อนทุบกระจกที่ติดกับตู้ เอ.ที.เอ็ม.ด้านล่างแตกขนาดแมวลอดเข้าไปได้ แต่ตัวจำเลยก็ไม่สามารถลอดเข้าไปภายในธนาคารได้และตรงที่จุดกระจกแตกซึ่งปรากฏตามภาพถ่ายหมาย จ.6 ก็ไม่เกี่ยวกับ ตู้ เอ.ที.เอ็ม. ซึ่งมีเงินเก็บอยู่ภายใน จำเลยไม่มีทางที่จะล้วงเอาเงินที่เก็บอยู่ในตู้ เอ.ที.เอ็ม. ไปได้เลย ของกลางที่ยึดได้ก็มีเพียงค้อน 1 ด้ามถุงมือ 1 คู่ และกระเป๋า 1 ใบ ซึ่งไม่อาจใช้งัดตู้ เอ.ที.เอ็ม.เพื่อเอาเงินที่เก็บอยู่ภายในตู้ออกมาได้ ทั้งนับแต่สิบตำรวจตรีโกวิทได้รับแจ้งทางวิทยุจนไปถึงที่เกิดเหตุก็เป็นเวลานานประมาณ 5 นาที หากจำเลยมีเจตนาที่จะลักเอาเงินที่เก็บอยู่ในตู้ เอ.ที.เอ็ม. จำเลยก็น่าจะใช้ค้อนทุบตู้ เอ.ที.เอ็ม.ให้แตกเสียหาย แล้วใช้เครื่องมืองัดแงะ งัดและเอาเงินที่เก็บอยู่ในตู้ เอ.ที.เอ็ม. แล้วรีบหลบหนีไปโดยไม่รออยู่นานถึง 5 นาทีจนกระทั่งถูกจับกุมเป็นแน่ กรณีอาจเป็นเรื่องที่จำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์ แต่จำเลยใช้ค้อนทุบกระจกเพื่อระบายความเครียดดังที่จำเลยอ้างก็ได้ แม้โจทก์จะมีคำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยมาเป็นพยาน แต่จำเลยก็ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณาและอ้างว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจนำเอกสารที่มีข้อความแล้วมาให้จำเลยลงชื่อโดยไม่ได้อ่านข้อความให้ฟัง พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังไม่พอให้รับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วแต่การที่จำเลยใช้ค้อนทุบกระจกด้านข้าง ตู้ เอ.ที.เอ็ม.ของธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาย่อยถนนสุขาภิบาล 1แตกเสียหาย ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งแม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ผู้เสียหาย แต่จำเลยก็นำสืบรับว่าได้ใช้ค้อนทุบกระจกผู้เสียหายแตกได้รับความเสียหายเพื่อระบายความเครียดจำเลยจึงมิได้หลงต่อสู้ ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสาม ส่วนค้อนของกลางเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดฐานทำให้เสียทรัพย์จึงต้องริบ
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 ให้ลงโทษจำคุก 3 เดือนจำเลยเป็นหญิงมีบุตร 1 คน ยังเล็กอยู่ ได้กระทำผิดเนื่องจากเกิดความเครียดเกี่ยวกับปัญหาภายในครอบครัว ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยทำความผิดมาก่อนให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด1 ปี ริบค้อนของกลางคำขออื่นให้ยก