คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3287/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินในเขตลาดกระบัง มีนบุรี ให้โจทก์โดยจำเลยที่ 1 รับค่าที่ดินบางส่วนไปแล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 ไม่สามารถนำที่ดินมาโอนขายให้โจทก์ได้จึงได้มีการเลิกสัญญาซื้อขายต่อกันโดยจำเลยที่ 1 ตกลงจะคืนเงินค่าที่ดินที่รับไว้ พร้อมทั้งชดใช้เงินจำนวนหนึ่งแก่โจทก์โดยจำเลยที่ 1 นำ น.ส.3 ก. และ น.ส.3 จำนวน 42 แปลง มอบให้โจทก์ไว้ เพื่อนำไปขายนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ ต่อมาจำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 ได้ร่วมกันนำ น.ส.3 ก. และ น.ส.3 ที่จำเลยที่ 1 มอบให้โจทก์ไว้ดังกล่าวไปจดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1ได้มอบเอกสาร น.ส.3 ก. และ น.ส.3 ให้โจทก์ยึดถือไว้ ไม่ได้มอบการครอบครองหรือมอบสิทธิในที่ดินให้แก่โจทก์แต่อย่างใด ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จึงมิใช่คำฟ้องที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4 ทวิ หากแต่เป็นคำฟ้องเกี่ยวกับหนี้เหนือบุคคลซึ่งต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาตามมาตรา 4(1) การที่จำเลยที่ 1 เพียงแต่มอบเอกสาร น.ส.3 ก. และ น.ส.3ให้แก่โจทก์ไว้ไม่ทำให้โจทก์เป็นเจ้าของสิทธิหรือมีสิทธิครอบครองในที่ดินตาม น.ส.3 ก. และ น.ส.3 ทั้งตามคำฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4 ได้จดทะเบียนรับโอนที่ดินโดยไม่สุจริตหรือร่วมกระทำการโดยสุจริต กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 จำเลยที่ 5ที่ 6 และที่ 7 จึงไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และมีคำสั่งว่าการจดทะเบียนขายที่ดินตามเอกสาร น.ส.3 ก. และ น.ส.3 ตำบลลาดตะเคียน อำเภอกบินทร์บุรีจังหวัดปราจีนบุรี รวม 42 ฉบับเป็นโมฆะและให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7ร่วมกันจดทะเบียนเพิกถอนการโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4กับจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 แล้วส่งมอบเอกสารและคืนที่ดินแก่โจทก์หากจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ไม่อาจดำเนินการได้ก็ให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 โดยให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายแทนโจทก์ ถ้าหากไม่อาจดำเนินการได้ก็ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องแล้ววินิจฉัยว่า หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นหนี้เหนือบุคคล เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มีภูมิลำเนานอกเขตศาล คดีจึงไม่อยู่ในอำนาจของศาลนี้ไม่รับฟ้อง ส่วนจำเลยที่ 5 ถึงที่ 7 โจทก์ไม่ใช่เจ้าของหรือผู้ครอบครองที่ดิน การโอนที่ดินให้จำเลยที่ 5 ถึงที่ 7จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้องว่า จำเลยที่ 1มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดสมุทรสาคร จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 และที่ 7 อยู่กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 5 อยู่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่จำเลยที่ 1 นำ น.ส.3 ก. และ น.ส.3 มาให้โจทก์ไว้เพื่อนำที่ดินออกขายนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ โจทก์จึงเป็นเจ้าของ มีสิทธิครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน เมื่อจำเลยที่ 2ร่วมกับจำเลยที่ 3 ที่ 4 ทุจริตนำเอกสารเกี่ยวกับที่ดินไปจดทะเบียนโอนขายให้แก่จำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 โจทก์จึงฟ้องให้เพิกถอนการโอนที่ดินและขอให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินค่าเสียหายแก่โจทก์อีกส่วนหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นั้นในข้อนี้โจทก์บรรยายฟ้องไว้ชัดว่า เมื่อโจทก์เลิกสัญญาซื้อขายที่ดินกับจำเลยตามฟ้องข้อ 3 แล้ว จำเลยที่ 1 ตกลงชำระเงินที่รับไว้ล่วงหน้า เงินค่าซ่อมแซมถนน เงินค่าติดตั้งมิเตอร์ไฟฟ้าและเงินตามเช็ค รวมทั้งสิ้นจำนวน 3,193,304.89 บาท แก่โจทก์เพื่อการชำระหนี้ดังกล่าว จำเลยที่ 1 ได้นำเอกสาร น.ส.3 ก. และน.ส.3 มอบให้แก่โจทก์ไว้เพื่อนำที่ดินตามเอกสารดังกล่าวไปขายนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ เท่ากับมอบเอกสาร น.ส.3 ก. และ น.ส.3ให้โจทก์ยึดถือไว้ ไม่ได้มอบการครอบครองหรือมอบสิทธิในที่ดินให้แก่โจทก์แต่อย่างใด ดังนั้น ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จึงมิใช่คำฟ้องที่เกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆอันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4 ทวิ หากแต่เป็นคำฟ้องเกี่ยวกับหนี้เหนือบุคคลซึ่งต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 4(1) ที่โจทก์ฎีกาในประการต่อมาว่า คำฟ้องโจทก์ข้อ 3วรรคสุดท้าย ระบุไว้อย่างแจ้งชัดว่า จำเลยที่ 1 ได้นำเอกสารน.ส.3 ก. และ น.ส.3 ตามฟ้องข้อ 2 มอบให้โจทก์ไว้เพื่อนำที่ดินตามเอกสารดังกล่าวไปขายนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์จึงเป็นเจ้าของสิทธิ มีสิทธิที่จะครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวได้ การกระทำของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินระหว่างจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ได้นั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 เพียงแต่มอบเอกสาร น.ส.3 ก. และ น.ส.3 ให้แก่โจทก์ไว้ดังกล่าว ไม่ทำให้โจทก์เป็นเจ้าของสิทธิหรือสิทธิครอบครองในที่ดินตาม น.ส.3 ก.และ น.ส.3 แต่อย่างใดทั้งตามคำฟ้องก็ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 5ที่ 6 และที่ 7 ซึ่งเป็นผู้ซื้อที่ดินตาม น.ส.3 ก. ดังกล่าวจากจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้จดทะเบียนรับโอนที่ดินโดยไม่สุจริตหรือร่วมกระทำการโดยทุจริตกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4แต่อย่างใด จำเลยที่ 5 ที่ 6 และที่ 7 จึงไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้นทุกข้อ”
พิพากษายืน

Share