คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1938/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่1รับผิดชำระหนี้ในฐานะผู้กู้และจำเลยที่2รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันมูลความแห่งคดีจึงเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันไม่ได้แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา59(1)ให้ถือว่าบรรดากระบวนพิจารณาซึ่งได้ทำโดยหรือทำต่อคู่ความร่วมคนหนึ่งนั้นให้ถือว่าได้ทำโดยหรือทำต่อคู่ความร่วมคนอื่นๆด้วยก็ตามแต่หลังจากที่จำเลยที่1ยื่นคำให้การยกอายุความเรื่องสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้เงินขึ้นต่อสู้โจทก์ได้ขอถอนฟ้องจำเลยที่1ศาลชั้นต้นอนุญาตและจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่1ออกจากสารบบความแล้วผลย่อมเป็นไปตามมาตรา176แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ว่าการถอนคำฟ้องย่อมมีผลลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องนั้นรวมทั้งกระบวนพิจารณาอื่นๆอันมีมาต่อภายหลังยื่นคำฟ้องและกระทำให้คู่ความกลับคืนสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นคำฟ้องเลยดังนั้นกระบวนพิจารณาที่จำเลยที่1ยื่นคำให้การยกอายุความเรื่องสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้เงินขึ้นต่อสู้โจทก์ถือว่าเป็นอันลบล้างไปด้วยผลของการถอนฟ้องตามบทบัญญัติดังกล่าวเท่ากับว่าไม่มีกำหนดอายุความเรื่องสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ของจำเลยที่1ที่จะนำมาพิจารณาได้อีก การตกลงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1มิใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ตามสัญญากู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1จึงมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่หนี้ตามสัญญากู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่1จึงไม่ระงับเมื่อจำเลยที่1ผู้กู้ตกเป็นผู้ผิดนัดแล้วจำเลยที่4ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญาค้ำประกันด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 458,175,085.17บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 298,815,208.47บาท และร้อยละ 14 ต่อปี จากต้นเงิน 4,527,898.53 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 9,026,180.85บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี จากต้นเงิน 1,557,197.89 บาทและร้อยละ 14 ต่อปี จากต้นเงิน 2,200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 4,289,074.01บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี จากต้นเงิน 1,557,197.89บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 4ชำระเงิน 2,757,621.91 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปีจากต้นเงิน 1,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 5 ชำระเงิน 73,135,890.40 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปี จากต้นเงิน 30,000,000 บาทนับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 6ชำระเงิน 266,312.28 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปีจากต้นเงิน 100,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 7 ชำระเงิน 646,356.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปี จากต้นเงิน 300,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ไม่ชำระให้ยึดทรัพย์สินซึ่งจำนองออกขายทอดตลาดใช้หนี้ถ้าได้เงินสุทธิไม่พอชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยผู้จำนองชำระหนี้จนกว่าจะครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญากู้เงินโจทก์และไม่เคยได้รับเงินตามสัญญากู้ทั้ง 4 ฉบับ โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามฟ้อง หนี้โจทก์ตามสัญญากู้ทั้ง 4 ฉบับ ขาดอายุความแล้ว ฟ้องโจทก์ในส่วนสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเคลือบคลุมโจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 หนี้เงินกู้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ขาดอายุความแล้ว ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่เคยทวงถามให้ชำระหนี้หรือบอกกล่าวบังคับจำนอง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ให้การว่า ได้ทำสัญญาค้ำประกันฉบับลงวันที่3 พฤษภาคม 2516 จริง แต่ไม่ได้ตกลงยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ตกลงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยกันหลายครั้งโดยจำเลยที่ 4 ไม่ได้ยินยอมด้วยการกระทำดังกล่าวจึงเป็นการเปลี่ยนแปลงหนี้ใหม่อันทำให้หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ระงับสิ้นไป จำเลยที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 5 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ตกลงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยหลายครั้งโดยจำเลยที่ 5 ไม่ได้ตกลงด้วยจึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่อันทำให้หนี้เดิมระงับ จำเลยที่ 5 ผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิด โจทก์ไม่เคยบอกกล่าวบังคับจำนองโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 6 ให้การว่า สัญญากู้เงินขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 7 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลอนุญาตจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 7 กับนายวนิช พรพิบูลย์ผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินจำนวน1,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ 14 ต่อปีนับแต่วันที่ 18 กันยายน 2522 และชำระเงินจำนวน 700,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยทบต้นในอัตราเดียวกัน นับแต่วันที่ 31 ตุลาคม 2522ให้จำเลยที่ 5 ชำระเงินจำนวน 15,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี นับแต่วันที่ 12กันยายน 2516 ให้จำเลยที่ 6 ชำระเงินจำนวน 100,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันที่ 9กุมภาพันธ์ 2519 และให้จำเลยที่ 7 ชำระเงินจำนวน 300,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ 14 ต่อปี นับแต่วันที่ 28กันยายน 2522 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองออกขายทอดตลาดหากได้เงินไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยเหล่านั้นออกขายทอดตลาดชำระหนี้จนครบ ให้ยกฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 3 และที่ 4
โจทก์ จำเลย ที่ 2 ที่ 5 ที่ 6 และ ที่ 7 อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์เฉพาะจำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 5 ยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ศาลอนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ที่ 6 และที่ 7ชำระดอกเบี้ยโดยไม่ทบต้น และชำระดอกเบี้ยค้างจ่ายก่อนวันฟ้องเพียง 5 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีประเด็นวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในปัญหาข้อกฎหมายว่าการที่จำเลยที่ 1 ผู้กู้ ยื่นคำให้การยกอายุอายุความเรื่องสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้เงินฉบับลงวันที่ 3พฤษภาคม 2516 ขึ้นต่อสู้ จะมีผลถึงจำเลยที่ 4 ผู้ค้ำประกันหนี้ตามสัญญากู้เงินฉบับดังกล่าว ซึ่งไม่ได้ยกอายุความขึ้นเป็นข้อต่อสู้ด้วยหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดชำระหนี้ในฐานะผู้กู้ และขอให้จำเลยที่ 2รับผิดชำระหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกัน มูลความแห่งคดีเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันไม่ได้ แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59(1) ให้ถือว่า บรรดากระบวนพิจารณาซึ่งได้ทำโดยหรือทำต่อคู่ความร่วมคนหนึ่งนั้นให้ถือว่าได้ทำโดยหรือทำต่อคู่ความร่วมคนอื่น ๆ ด้วย ก็ตาม แต่หลังจากที่จำเลยที่ 1ยื่นคำให้การยกอายุความเรื่องสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้เงินขึ้นต่อสู้ โจทก์ได้ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาตและจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความแล้ว ผลย่อมเป็นไปตามมาตรา 176 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งที่ว่าการถอนคำฟ้องย่อมมีผลลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องนั้นรวมทั้งกระบวนพิจารณาอื่น ๆ อันมีมาต่อภายหลังยื่นคำฟ้องและกระทำให้คู่ความกลับคืนเข้าสู่ฐานะเดิมเสมือนหนึ่งมิได้มีการยื่นคำฟ้องเลย ดังนั้น กระบวนการพิจารณาที่จำเลยที่ 1ยื่นคำให้การยกอายุความเรื่องสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้เงินขึ้นต่อสู้โจทก์ ถือว่าเป็นอันลบล้างไปด้วยผลของการถอนฟ้องตามบทบัญญัติดังกล่าว จึงเท่ากับว่าไม่มีกำหนดอายุความเรื่องสิทธิเรียกร้องตามสัญญากู้ของจำเลยที่ 1 ที่จะนำมาพิจารณาได้อีก ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาว่า เมื่อหนี้ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้กู้ขาดอายุความย่อมมีผลถึงจำเลยที่ 4ผู้ค้ำประกันหนี้ดังกล่าวด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปมีว่า จำเลยที่ 4ต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่เพียงใด ปัญหาดังกล่าวศาลล่างทั้งสองยังมิได้วินิจฉัย แต่โจทก์และจำเลยที่ 4 ได้นำสืบข้อเท็จจริงกันมาเสร็จสิ้นแล้ว จึงเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ไปเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิพากษาเสียใหม่ ปัญหาดังกล่าวโจทก์และจำเลยที่ 4 นำสืบรับกันว่า จำเลยที่ 1ได้กู้ยืมเงินไปจากโจทก์จำนวน 1,000,000 บาท ยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12 ต่อปี ตามสัญญากู้เงินฉบับลงวันที่ 3พฤษภาคม 2516 โดยจำเลยที่ 4 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินฉบับดังกล่าว ตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.45และจำเลยที่ 1 ตกเป็นผู้ผิดนัดแล้ว จำเลยที่ 4 ยังไม่เคยชำระหนี้ตามสัญญาค้ำประกันให้แก่โจทก์ ที่จำเลยที่ 4 ต่อสู้ว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยกันหลายครั้งโดยจำเลยที่ 4 มิได้ตกลงยินยอมด้วย จึงเป็นการแปลงหนี้ใหม่ทำให้หนี้ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ระงับจำเลยที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงหลุดพ้นจากความรับผิดนั้นเห็นว่า การตกลงเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิใช่การเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ตามสัญญากู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงมิใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่ หนี้ตามสัญญากู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1จึงไม่ระงับสิ้นไป ทั้งตามคำฟ้องของโจทก์ ขอให้จำเลยที่ 4รับผิดชำระหนี้แก่โจทก์และดอกเบี้ยตามจำนวนและอัตราที่ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกันเท่านั้น เมื่อได้ความว่า จำเลยที่ 1ผู้กู้ ตกเป็นผู้ผิดนัดแล้วจำเลยที่ 4 ในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญาค้ำประกันข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 4 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 4 ชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 12 ต่อปีนับแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2516 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share