คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1929/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 429 บิดามารดาจะต้องพิสูจน์ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น
จำเลยที่ 1 ผู้เยาว์ไปรับจ้างทำงานในจังหวัดนครราชสีมาและได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ โดยในระหว่างนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบิดามารดาอยู่ในจังหวัดบุรีรัมย์ แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสืบได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 1 ไปรับจ้างทำงานในจังหวัดนครราชสีมาโดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้ตามไปอยู่ด้วยเท่านั้น มิได้พิสูจน์ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ 1

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ บุตรผู้เยาว์ของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ใช้ด้ามจอบตีศีรษะโจทก์อย่างแรง เป็นเหตุให้ศีรษะโจทก์แตก กะโหลกศีรษะยุบลงถึงสมองขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน ๓๐,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การต่อสู้คดี
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน ๒๙,๔๑๖ บาท แก่โจทก์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จตำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๒๓,๔๑๖ บาท แก่โจทก์
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาว่า จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้เยาว์ จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในผลของการละเมิดของจำเลยที่ ๑ หรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยที่ ๑ ไปรับจ้างทำงานในจังหวัดนครราชสีมาและได้ทำร้ายร่างกายโจทก์ โดยในระหว่างนั้นจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ อยู่ในจังหวัดบุรีรัมย์ เห็นว่ากรณีอยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๙กล่าวคือจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นบิดามารดาจะต้องพิสูจน์ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้นแต่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ นำสืบได้ความเพียงว่า จำเลยที่ ๑ไปรับจ้างทำงานในจังหวัดนครราชสีมาโดยจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่ได้ตามไปอยู่ด้วยเท่านั้น มิได้พิสูจน์ว่าตนได้ใช้ความระมัดระวังตามสมควรแก่หน้าที่ดูแลซึ่งทำอยู่นั้น จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่ ๑ตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้วฎีกาของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share