คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 485/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่โจทก์ผู้อุทธรณ์ไม่นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยภายในเวลาที่ศาลกำหนดโดยปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไป มิได้ติดต่อกับศาลเป็นเวลา 2 เดือนเศษ โดยมีข้ออ้างเพียงว่าทนายโจทก์ได้เลื่อนการพิจารณาคดีออกไปหลายคดี ประกอบกับความพลั้งเผลอ ย่อมเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)ประกอบมาตรา 246 ซึ่งศาลชอบที่จะใช้ดุลพินิจสั่งจำหน่ายคดีเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1).

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองที่นางเสงี่ยม แทนทอง ทำขึ้นเป็นโมฆะ จำเลยให้การต่อสู้ว่าพินัยกรรมฉบับที่โจทก์ถือเป็นเหตุนำมาฟ้องมีผลตามกฎหมาย ไม่เป็นโมฆะ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม2531 โดยให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยภายใน 10 วัน ต่อมาวันที่ 11 พฤศจิกายน 2531 เจ้าหน้าที่ศาลรายงานว่า โจทก์มิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ตามกำหนดเวลาที่ศาลสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาสั่ง
ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์ ให้จำหน่ายคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นสั่งคำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์ว่ารับอุทธรณ์ สำเนาให้จำเลยโดยให้โจทก์นำส่งภายใน 10 วัน นั้นย่อมเป็นกรณีที่ศาลกำหนดเวลาให้โจทก์ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ซึ่งบทบัญญัติมาตราดังกล่าวบัญญัติว่า ถ้าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้ให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง และมาตรา 246ให้นำบทบัญญัติดังกล่าวมาใช้ในชั้นอุทธรณ์ด้วย ฉะนั้น เมื่อโจทก์มิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยภายในเวลาที่ศาลกำหนด จึงเป็นการที่โจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ซึ่งศาลชอบที่จะสั่งจำหน่ายคดีเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1) อันเป็นเรื่องดุลพินิจของศาล และในข้อที่ว่าศาลอุทธรณ์ได้ใช้ดุลพินิจเหมาะสมถูกต้องแล้วหรือไม่นั้น ปรากฏข้อเท็จจริงว่าศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2531 ให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยภายใน 10 วัน คือภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2531พ้นกำหนดแล้วโจทก์มิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ และมิได้กระทำการใด ๆจนวันที่ 16 มีนาคม 2532 ทนายโจทก์จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ชี้แจงเหตุผลที่มิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ ตามคำร้องของทนายโจทก์อ้างว่า ในระหว่างนั้นทนายโจทก์ประสบอุบัติเหตุรถยนต์ ต้องรักษาตัวและพักฟื้นเป็นเวลานานถึง 2 เดือนเศษ โดยมิได้ระบุว่าประสบอุบัติเหตุวันใด บาดเจ็บมากน้อยเพียงใด รักษาตัวตั้งแต่วันที่เท่าใดถึงวันที่เท่าใด ที่โรงพยาบาลหรือที่ใด มีหลักฐานของโรงพยาบาลอย่างไรบ้าง พักฟื้นตั้งแต่วันใดถึงวันใด ทั้ง ๆ ที่รายละเอียดเหล่านี้ ทนายโจทก์ย่อมทราบดีอยู่แล้วทำให้เห็นได้ว่าข้ออ้างของโจทก์ไม่มีมูลความจริง นอกจากนี้ทนายโจทก์ยื่นคำร้องดังกล่าวหลังจากพ้นกำหนดเวลาที่จะนำส่งสำเนาอุทธรณ์ถึง 4 เดือนครึ่งเป็นการปล่อยเวลาให้เนิ่นนานเกินสมควร เพราะตามคำร้องของทนายโจทก์อ้างว่า ประสบอุบัติเหตุในระหว่างเวลาที่จะต้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์ต้องรักษาตัวและพักฟื้นเป็นเวลาประมาณ 2 เดือนเศษ แสดงว่ารวมเวลารักษาตัวและพักฟื้นไม่เกินต้นเดือนมกราคม 2532 แต่ทนายโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2532 หรือหากจะคิดแต่เฉพาะช่วงเวลารักษาตัวไม่รวมระยะพักฟื้นด้วย ย่อมจะไม่เกินปลายเดือนธันวาคม 2531 แสดงว่าทนายโจทก์ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปโดยมิได้ติดต่อกับศาลเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเวลาถึง2 เดือนเศษ ข้ออ้างของทนายโจทก์ถึงเหตุที่ปล่อยเวลาล่วงเลยไปก็มีเพียงว่าทนายโจทก์ได้เลื่อนการพิจารณาคดีออกไปหลายคดีประกอบกับความพลั้งเผลออันเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น ศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดีชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share