แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 วรรคสุดท้าย นั้นหมายถึงบุคคลอื่น มิใช่พวกปล้นด้วยกันเอง ฉะนั้นการที่จำเลยกับพวกร่วมกันมีปืนเป็นอาวุธปล้นทรัพย์ และจำเลยได้ใช้ปืนยิงเจ้าทรัพย์บาดเจ็บและกระสุนพลาดไปถูกพวกคนร้ายด้วยกันตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานปล้นโดยใช้ปืนยิงและฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับนายสำลีและพวกอีกคนหนึ่งสมคบร่วมกันมีปืนเป็นอาวุธ ปล้นทรัพย์นายวีระเชิด นางบุบผา วาชัยยง ไปรวมเป็นเงิน ๑,๓๔๐ บาท และจำเลยได้ใช้ปืนยิงนายวีระเชิดเพื่อปกปิดหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญา แต่นายวีระเชิดหลบหลีกกระสุนปืนจึงพลาดไปถูกใต้ตาและหัวคิ้วขวาของนายวีระเชิดได้รับอันตรายแก่กาย และกระสุนพลาดไปถูกเอานายสำลีพวกของจำเลยตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕, ๓๓๙, ๓๔๐, ๒๘๙, ๘๓, ๖๐ ให้ริบปืนและกระสุนของกลางให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดฐานปล้นทรัพย์ เป็นเหตุให้นายสำลีถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐วรรคสุดท้าย และมีความผิดฐานฆ่านายสำลีให้ถึงแก่ความตายโดยเจตนาตามมาตรา ๒๘๘ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๓๔๐ วรรคสุดท้าย ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา ๙๐ ให้จำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิต อาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางให้ริบ และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๑,๓๔๐บาท แก่เจ้าทรัพย์ด้วย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในคืนโจทก์หามีคนร้าย ๓ คนเข้าปล้นนายวีระเชิดกับภริยาจริง คนร้ายได้ทรัพย์แล้วยิงนายวีระเชิด แต่กระสุนพลาดไปถูกนายสำลีพวกคนร้ายด้วยกันตาย แล้วคนร้ายอีก ๒ คนหลบหนีไป ในที่เกิดเหตุมีตะเกียงกระป๋องใส้โตเท่าหลอดกาแฟจุดอยู่ คนร้าย ๓ คนเข้ามาใช้ปืนจี้ในระยะห่าง๑-๓ ฟุต โดยไม่ได้สวมหมวกโพกหัว คนร้ายทำการอยู่นาน ๔-๕ นาทีดังนี้ นายวีระเชิดนางบุบผาจึงมีโอกาสที่จะเห็นและจำคนร้ายได้ทั้งเจ้าทรัพย์ก็ไม่รู้จักจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุที่จะทำให้ระแวงว่าจะแกล้งปรักปรำชี้จำเลย ทำให้เชื่อว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้จริง หลักฐานพยานจำเลยไม่อาจหักล้างพยานโจทก์ได้
คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐วรรคสุดท้าย ฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาเห็นว่าการปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายนั้นหมายถึงบุคคลอื่นมิใช่พวกปล้นด้วยกันเอง จำเลยคงมีความผิดเพียงฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ปืนยิงตามมาตรา ๓๔๐ วรรค ๔ และฐานฆ่านายสำลีตายโดยเจตนา ตามมาตรา ๒๘๘, ๖๐
จึงพิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา๓๔๐ วรรค ๔ และมาตรา ๒๘๘ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๘๘ ซึ่งเป็นบทหนักส่วนกำหนดโทษและนอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์