คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1121/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จะเป็นฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยาน และจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ แต่โดยที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาในวันเดียวกัน ไม่มีโอกาสที่จำเลยจะโต้แย้งได้ก่อน จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้
ถ้ามีปัญหาข้อใดในคดี ไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย หากคู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้าง และอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ ย่อมเกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท และคู่ความย่อมมีสิทธินำพยานเข้าสืบในข้อเท็จจริงตามประเด็นข้อพิพาทนั้นได้ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 183, 184, 185 และ 85 แต่ถ้าปัญหาข้อใดที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้าง และอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท เพราะเป็นอันฟังได้ตามที่รับกันนั้นโดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานใดๆ ในปัญหาข้อนั้นอีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 84
การที่คู่ความท้ากันในคดี ถือได้ว่าเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้างตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 84 นั้นเอง แต่มีเงื่อนไขว่าต้องมีการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน ถ้าผลแห่งการดำเนินกระบวนพิจารณานั้นสมความประสงค์ของคู่ความฝ่ายใดตามที่ท้ากัน อีกฝ่ายหนึ่งก็ยอมรับตามข้ออ้างที่สมประสงค์นั้นทั้งหมด
คู่ความท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในช่องผู้ค้ำประกันในสัญญาหมาย จ.2 เปรียบเทียบกับลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ในที่ต่างๆ หากผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ว่าลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันในสัญญาหมาย จ. 2 น่าเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 จำเลยทั้ง 4 คนย่อมแพ้ ถ้าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 โจทก์ยอมแพ้ ผลจึงเป็นดังที่กล่าวข้างต้น กล่าวคือ โจทก์จำเลยต่างจะยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้าง ถ้าผลการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของผู้เชี่ยวชาญอันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งสมความประสงค์ของฝ่ายใด ฉะนั้น เมื่อผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจพิสูจน์แล้วและมีความเห็นว่า ลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในเอกสารหมาย จ. 2 กับลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ในใบแต่งทนาย ใบรับหมายและตัวอย่างที่เขียนต่อหน้าศาลน่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ซึ่งหมายความว่า ลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในเอกสารหมาย จ. 2 น่าจะเป็นลายมือชื่อจำเลยที่ 2 นั่นเอง จึงเป็นการสมความประสงค์ของโจทก์และเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าตรงตามคำท้าแล้ว ก็มีผลตามความเห็นว่า จำเลยยอมรับตามข้ออ้างของโจทก์ทั้งหมดและยอมแพ้คดี คู่ความจึงไม่มีภาระการพิสูจน์ตามข้ออ้างนั้นอีก เมื่อเป็นดังนี้ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานของทั้งสองฝ่าย จึงไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอย่างใด
ข้อที่ฎีกาว่า ผลการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญไม่ตรงตามคำท้าในรายงานกระบวนพิจารณาซึ่งจะแปลความหมายแห่งถ้อยคำในรายงานกระบวนพิจารณา จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ก็ด้วยการแสดงความเห็นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 130 จะยืนยันข้อเท็จจริงไม่ได้ เพราะไม่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นพยานนั้นด้วยตนเองโดยตรง
คู่ความท้ากันในรายงานกระบวนพิจารณาว่า หากผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ว่าลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในช่องผู้ค้ำประกันในสัญญาหมาย จ. 2 น่าเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 แล้ว จำเลยทั้งสี่คนยอมแพ้คดี แต่ถ้าไม่ใช่ โจทก์ยอมแพ้คดีการท้ากันในคดีนี้จึงเห็นได้อยู่ในตัวว่าเป็นการท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญแสดงความหาใช่ผู้เชี่ยวชาญยืนยันข้อเท็จจริงไม่ ฉะนั้น แม้ผู้เชี่ยวชาญจะแสดงเหตุผลในการแสดงความเห็นอย่างใดก็ตาม แต่ในที่สุดเห็นว่าลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันในเอกสารหมาย จ.2 น่าจะเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 แล้ว ก็ย่อมเป็นการแสดงความเห็นที่สมประสงค์ของโจทก์ตรงตามคำท้าจำเลยจึงต้องแพ้คดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางเอียดมารดาจำเลยทั้งสามกู้เงินโจทก์ไป ๒,๕๐๐ บาท จำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันว่า ถ้านางเอียดตาย จำเลยที่ ๒ จะใช้ให้ นางเอียดไม่เคยชำระเงินต้นและดอกเบี้ย นางเอียดตาย ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินต้นและดอกเบี้ยรวม ๓,๖๑๒ บาท ฯลฯ
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธและว่า จำเลยทุกคนไม่ได้รับมรดกนางเอียด นางเอียดทำพินัยกรรมยกสวนยางให้นางสาวศรีนวลหลานสาวไปแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เรียกนางสาวศรีนวลเข้าเป็นจำเลยร่วม เรียกว่า จำเลยที่ ๔ จำเลยที่ ๔ ให้การว่า โจทก์กับญาติของโจทก์สมคบกันปลอมสัญญาขึ้น ฯลฯ
วันนัดสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงขอให้ผู้เชี่ยวชาญการตรวจเอกสารกรมตำรวจตรวจพิสูจน์ลายเซ็นในช่องผู้ค้ำประกันในสัญญาค้ำประกันหมาย จ. ๒ เปรียบเทียบกับลายเซ็นของจำเลยที่ ๒ ในใบแต่งทนายในสำนวน ฯลฯ ว่าจะเป็นลายเซ็นของคนคนเดียวกันหรือไม่ หากผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ว่าลายเซ็นดังกล่าวน่าเชื่อว่าเป็นลายเซ็นของจำเลยที่ ๒ จำเลยทั้งสี่คนยอมแพ้ ถ้าไม่ใช่ลายเซ็นของจำเลยที่ ๒ โจทก์ยอมแพ้ ผลที่สุดผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจพิสูจน์มีความเห็นว่า ลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในเอกสารหมาย จ. ๒ กับลายมือชื่อจำเลยที่ ๒ ในใบแต่งทนาย ฯลฯ น่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานทั้งสองฝ่ายแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ใช้เงินตามฟ้อง ฯลฯ
จำเลยที่ ๒, ๓, ๔ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๒, ๓, ๔ ฎีกา
ฎีกาข้อแรกศาลฎีกาเห็นว่า แม้จะเป็นฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยาน และจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ แต่โดยที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาในวันเดียวกันไม่มีโอกาสที่จำเลยจะโต้แย้งได้ก่อน จำเลยจึงมีสิทธิฎีกาได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้.. ศาลฎีกาเห็นว่า ถ้ามีปัญหาข้อใดในคดี ไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมาย หากคู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้าง และอีกฝ่ายหนึ่งไม่รับ ย่อมเกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท และคู่ความย่อมมีสิทธินำพยานเข้าสืบในข้อเท็๋จจริงตามประเด็นข้อพิพาทนั้นได้ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๘๓, ๑๘๔, ๑๘๕ และ ๘๕ แต่ถ้าปัญหาข้อใดที่คู่ความฝ่ายหนึ่งยกขึ้นอ้าง และอีกฝ่ายหนึ่งรับแล้ว ย่อมไม่เกิดเป็นประเด็นข้อพิพาท เพราะเป็นอันฟังได้ตามที่รับกันนั้น โดยไม่ต้องสืบพยานหลักฐานใดๆ ในปัญหาข้อนั้นอีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๘๔
การที่คู่ความท้ากันในคดี ถือได้ว่าเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้างตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๘๔ นั้นเอง แต่มีเงื่อนไขว่าต้องมีการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างใดอย่างหนึ่งก่อน ถ้าผลแห่งการดำเนินกระบวนพิจารณานั้นสมความประสงค์ของคู่ความฝ่ายใดตามที่ท้ากัน อีกฝ่ายหนึ่งก็ยอมรับตามข้ออ้างของฝ่ายที่สมประสงค์นั้นทั้งหมด
คดีนี้ คู่ความท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในช่องผู้ค้ำประกันในสัญญาหมาย จ. ๒ เปรียบเทียบกับลายมือชื่อจำเลยที่ ๒ ในที่ต่างๆ หากผู้เชี่ยวชาญพิสูจน์ว่าลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันในสัญญาหมาย จ. ๒ น่าเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ ๒ จำเลยทั้งทั้งสี่คนยอมแพ้ ถ้าไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ ๒ โจทก์ยอมแพ้ ผลจึงเป็นดังที่กล่าวข้างต้น กล่าวคือโจทก์จำเลยต่างจะยอมรับข้อเท็จจริงที่อีกฝ่ายหนึ่งอ้าง ถ้าผลการตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของผู้เชี่ยวชาญอันเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งสมความประสงค์ของฝ่ายใด ฉะนั้น เมื่อผู้เชี่ยวชาญได้ตรวจพิสูจน์แล้ว และมีความเห็นว่าลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในเอกสารหมาย จ. ๒ กับลายมือชื่อจำเลยที่ ๒ ในใบแต่ทนาย ใบรับหมาย และตัวอย่างที่เขียนต่อหน้าศาล น่าจะเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในเอกสารหมาย จ. ๒ น่าจะเป็นลายมือชื่อจำเลยที่ ๒ นั่นเอง จึงเป็นการสมความประสงค์ของโจทก์ และเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าตรงตามคำท้าแล้ว ก็มีผลตามความเห็นนั้นว่า จำเลยยอมรับตามข้ออ้างของโจทก์ทั้งหมด และยอมแพ้คดี คู่ความจึงไม่มีภาระการพิสูจน์ตามข้ออ้างนั้นอีก เมื่อเป็นดังนี้ ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานของทั้งสองฝ่าย จึงไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอย่างใด
ส่วนฎีกาข้อ ๒ เป็นการฎีกาว่า ผลการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญไม่ตรงตามคำท้าในรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๐๘ ซึ่งจะแปลความหมายแห่งถ้อยคำในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับนั้น จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยต่อไปว่า ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ดีด้วยการแสดงความเห็นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๓๐ จะยืนยันข้อเท็จจริงไม่ได้เพราะไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน หรือพบข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่เป็นพยานนั้นด้วยตนเองโดยตรง คดีนี้คู่ความท้ากันในรายงานกระบวนพิจารณาว่า หากผู้เชี่ยวชาญตรวจพิสูจน์ว่าลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันในสัญญาหมาย จ.๒ น่าเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ ๒ จำเลยทั้งสี่คนยอมแพ้ ถ้าไม่ใช่ โจทก์ยอมแพ้ การท้ากันในคดีนี้จึงเห็นได้อยู่ในตัวว่าเป็นการท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญแสดงความเห็น หาใช่ให้ผู้เชี่ยวชาญยืนยันข้อเท็จจริงไม่ ฉะนั้นแม้ผู้เชี่ยวชาญจะแสดงเหตุผลในการแสดงความเห็นอย่างใดก็ตาม แต่ในที่สุดเห็นว่าลายมือชื่อในช่องผู้ค้ำประกันในเอกสารหมาย จ. ๒ น่าจะเป็นลายมือชื่อของจำเลยที่ ๒ แล้ว ก็ย่อมเป็นการแสดงความเห็นที่สมประสงค์ของโจทก์ ตรงตามคำท้า จำเลยจึงยอมแพ้คดี
พิพากษายืน

Share