คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1913/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ความผิดฐานซ่องโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 นั้น ผู้กระทำต้องสมคบกันเพื่อกระทำความผิด โดยร่วมคบคิดกันหรือแสดงออกซึ่งความตกลงจะทำความผิดร่วมกัน เช่น ประชุมหรือหารือวางแผนที่จะกระทำความผิด และตามมาตรา 212บัญญัติให้เอาความผิดแก่ผู้จัดหาที่ประชุมหรือที่พำนักให้แก่ซ่องโจร ซึ่งเป็นข้อสนับสนุนให้เห็นถึงองค์ประกอบของความผิดฐานเป็นซ่องโจรให้เห็นเด่นชัดว่าจะต้องมีการคบคิดประชุมปรึกษาหารือกันเพื่อกระทำความผิด ซึ่งมีสภาพเป็นการกระทำระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ไม่สามารถนำสืบให้เห็นว่า มีการคบคิดกันจะกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ข้อเท็จจริงจึงไม่พอฟังว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานฉ้อโกง
ผู้เสียหายสมัครใจที่นำเงินมาเพื่อร่วมกับจำเลยทั้งสองและ ว. เล่นการพนันกำถั่วเพื่อโกง ท. ตามที่บุคคลทั้งสามชักชวนผู้เสียหาย เพราะ ว. ได้แสดงการโกงพนันกำถั่วให้ผู้เสียหายดู ตลอดจนจำเลยที่ 2 ก็สอนวิธีการโกงพนันกำถั่วให้ผู้เสียหายดูจนผู้เสียหายแน่ใจว่าสามารถเล่นพนันกำถั่วโกง ท. ได้ ทั้งผู้เสียหายก็อยู่ในห้องเกิดเหตุตลอดเวลาที่เล่นการพนันกัน การที่ผู้เสียหายนำเงินมามอบให้จำเลยทั้งสองกับพวกเล่นการพนันกำถั่วเพื่อโกง ท. จึงเชื่อได้ว่าผู้เสียหายสมัครใจเข้าร่วมเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยเป็นการร่วมกับจำเลยทั้งสองกระทำความผิด ผู้เสียหายจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าวในความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 22 มกราคม 2540 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 25มกราคม 2540 เวลากลางวัน ต่อเนื่องกันตลอดมา จำเลยทั้งสองกับพวกอีก 3 คน ที่หลบหนีสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์ นายสุธาพรหมแก้ว ผู้เสียหาย และระหว่างวันที่ 22 มกราคม 2540 เวลากลางวันถึงวันที่ 25มกราคม 2540 เวลากลางวันต่อเนื่องกัน จำเลยที่ 1 ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นผู้ช่วยผู้จัดการบังกะโลเปิดใหม่ที่บริเวณหาดในทอน ตำบลสาคู อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ทำทีว่าจะซื้อเฟอร์นิเจอร์จากผู้เสียหายหลายรายการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,000,000 บาท ต่อมาพวกของจำเลยทั้งสองอีกคนหนึ่งไปพบผู้เสียหายพร้อมจำเลยที่ 1 และอ้างว่าเป็นผู้จัดการบังกะโลเปิดใหม่ดังกล่าวมาดูสินค้า ตกลงจะซื้อและนัดวันชำระเงินมัดจำที่โรงแรมคราวน์ในยาง ตำบลสาคู อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เมื่อผู้เสียหายไปพบจำเลยที่ 1 กับพวกตามนัด ก็ได้พบกับจำเลยที่ 2 ที่ห้องพัก จำเลยทั้งสองกับพวกอีกคนหนึ่งออกอุบายขอยืมเงินจากผู้เสียหาย 3,000,000 บาท เพื่อจะเล่นการพนันกำถั่วกับพวกของจำเลยทั้งสองอีกคนหนึ่ง ซึ่งอ้างว่าเป็นเศรษฐี โดยจะใช้วิธีโกง และมีพวกของจำเลยทั้งสองคนหนึ่งแสดงตัวเป็นผู้จัดการโรงแรมคราวน์ในยางรับประกันการกู้ยืมเงินของจำเลยทั้งสองกับพวกจนผู้เสียหายหลงเชื่อมอบเงินสด 3,000,000 บาท ให้แก่จำเลยทั้งสองกับพวกซึ่งไม่เป็นความจริง ความจริงแล้วจำเลยทั้งสองกับพวกเจตนาทุจริตหลอกลวงเอาเงินของผู้เสียหาย พวกของจำเลยทั้งสองไม่มีคนใดเป็นเศรษฐี จำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้จัดการ(ที่ถูกผู้ช่วยผู้จัดการ) บังกะโลเปิดใหม่ที่หาดในทอน และจำเลยทั้งสองกับพวกไม่มีเจตนาจะซื้อเฟอร์นิเจอร์ของผู้เสียหาย เป็นเหตุให้จำเลยทั้งสองกับพวกได้ไปซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหายเป็นเงิน 3,000,000 บาทเศษ เหตุเกิดที่ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงาและตำบลสาคู อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เกี่ยวพันกัน จำเลยที่ 1 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 เป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 1 ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1196/2540 ของศาลชั้นต้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91, 210, 341, 342 ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน 3,000,000 บาท ให้แก่ผู้เสียหาย และนับโทษจำเลยทั้งสองในคดีนี้ต่อจากโทษจำเลยทั้งสองในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1196/2540 ของศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 210 วรรคแรก, 341 ประกอบมาตรา 342(1), (ที่ถูก 342(1), ประกอบมาตรา 341),83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร จำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันฉ้อโกงผู้อื่น จำคุกคนละ2 ปี รวมจำคุกคนละ 4 ปี ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงิน 3,000,000 บาท ให้แก่ผู้เสียหาย ส่วนคำขอให้นับโทษต่อ ไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองต้องโทษจำคุกในคดีดังกล่าวหรือไม่จึงให้ยก

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่าผู้เสียหายมีอาชีพค้าขายเฟอร์นิเจอร์ เปิดร้านใช้ชื่อว่านิวโคกกลอยเฟอร์นิเจอร์อยู่ที่ ตำบลโคกกลอยอำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องจำเลยที่ 1 และนายวีระชัยพาผู้เสียหายไปพบกับนายทรงวุฒิ ทองรัตนะหรือทองรัตน์หรือทองรักษ์ ซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของบังกะโลที่หาดในทอน ตำบลสาคู อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เพื่อทำสัญญาซื้อขายเฟอร์นิเจอร์มูลค่า 3,000,000 บาท ภายในห้องพักเกิดเหตุโรงแรมคราวน์ในยาง โดยจำเลยที่ 1 ได้มาติดต่อกับผู้เสียหายขอซื้อเฟอร์นิเจอร์ก่อนวันเกิดเหตุแล้ว 1 วัน ผู้เสียหายได้มอบเงินจำนวน 3,000,000 บาท แก่นายวีระชัยเพื่อเล่นการพนันกำถั่วกับนายทรงวุฒิ ในที่สุดนายทรงวุฒิเป็นผู้ชนะการพนัน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่นั้น สำหรับความผิดฐานซ่องโจรนั้น โจทก์มีผู้เสียหายและร้อยตำรวจเอกเศียร แก้วทอง พนักงานสอบสวนมาเบิกความเพียงว่าจำเลยทั้งสองกับพวกรวม 5 คน ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหาย อันเป็นการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง แต่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 จะเป็นความผิดฐานเป็นซ่องโจรนั้น ผู้กระทำต้องสมคบกันเพื่อกระทำความผิด กล่าวคือ ร่วมคบคิดกันหรือการแสดงออกซึ่งความตกลงจะทำความผิดร่วมกันเช่น ประชุมหรือหารือวางแผนที่จะกระทำความผิด ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติของมาตรา 212 ที่บัญญัติให้เอาความผิดแก่ผู้จัดหาที่ประชุมหรือที่พำนักให้แก่ซ่องโจร ซึ่งเป็นข้อสนับสนุนให้เห็นถึงองค์ประกอบของความผิดฐานเป็นซ่องโจรให้เห็นเด่นชัดว่าจะต้องมีการคบคิดประชุมปรึกษาหารือกันเพื่อกระทำความผิด ซึ่งมีสภาพเป็นการกระทำระหว่างผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แต่พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา ไม่ปรากฏว่ามีการคบคิดกันว่าจะกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามที่โจทก์ฟ้อง ข้อเท็จจริงจึงไม่พอฟังว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดฐานซ่องโจร ส่วนความผิดฐานฉ้อโกงนั้น โจทก์นำสืบโดยมีผู้เสียหายมาเบิกความได้ความว่า หลังจากผู้เสียหายได้พูดคุยกับนายทรงวุฒิเกี่ยวกับเฟอร์นิเจอร์ที่จะซื้อขายกันแล้ว นายทรงวุฒิทะเลาะกับจำเลยทั้งสองและนายวีระชัยเรื่องที่บุคคลทั้งสามไปบริการภริยาน้อยนายทรงวุฒิเกินหน้าเกินตา นายทรงวุฒิยังต่อว่านายวีระชัยที่บริการแขกที่บ้านเกินหน้าเกินตา จากนั้นนายทรงวุฒิได้นำเงินจำนวน8,000,000 บาท ที่เก็บไว้ในกระเป๋าให้ผู้เสียหายดูและบอกว่าจะเอาไปเล่นการพนันกับคนที่มีระดับในจังหวัดภูเก็ต โดยคืนที่ผ่านมาได้เสียพนันจำนวน 5,000,000 บาท นายวีระชัยพูดห้ามมิให้นายทรงวุฒิไปเล่นการพนันอีก นายทรงวุฒิด่าว่านายวีระชัยและจะไล่นายวีระชัยออกจากงาน นายทรงวุฒิหิ้วกระเป๋าเงินออกจากห้องพักเกิดเหตุไปนายวีระชัยบอกผู้เสียหายว่า ถ้านายทรงวุฒิไปเล่นการพนันก็คงต้องเสียพนันอีกเพราะเป็นคนโง่หากเป็นเช่นนั้นก็ให้วางแผนโกงนายทรงวุฒิเสียเลย จากนั้นนายวีระชัยก็แสดงวิธีการโกงพนันกำถั่วให้ผู้เสียหายดู และจำเลยที่ 2 ก็สอนวิธีการโกงพนันกำถั่วให้ผู้เสียหายทำดูว่าจะให้ออกหมายเลขอะไร จำเลยทั้งสองกับนายวีระชัยตกลงจะร่วมกันโกงนายทรงวุฒิจึงขอยืมเงินผู้เสียหาย 3,000,000 บาท เพื่อนำไปเล่นพนันกับนายทรงวุฒิ ซึ่งในขณะที่นายทรงวุฒิด่าว่านายวีระชัย ผู้เสียหายรู้สึกว่าบุคคลทั้งสองทะเลาะกันจริง ผู้เสียหายสงสารเห็นใจนายวีระชัยจึงยอมให้นายวีระชัยยืมเงิน 3,000,000 บาท เพื่อเล่นการพนันกับนายทรงวุฒิ โดยนายทรงวุฒิกับนายวีระชัยได้ตกลงว่าจะเล่นการพนันกันหลังจากผู้เสียหายมอบเงินให้นายวีระชัยแล้ว นายวีระชัยบอกว่าชนะพนันแน่ จะคืนเงิน3,000,000 บาท ในภายหลัง เห็นว่า ผู้เสียหายไม่เคยรู้จักกับนายวีระชัยและจำเลยทั้งสองมาก่อน โดยผู้เสียหายเพิ่งจะเห็นนายวีระชัยในวันเกิดเหตุ แต่ผู้เสียหายกลับยินยอมให้นายวีระชัยยืมเงินจำนวนถึง 3,000,000 บาท นับว่ามากโดยมิได้มีหลักประกันใด ๆ ในการกู้ยืมและมิได้ทำหนังสือการกู้ยืมเงินไว้เป็นหลักฐาน ทั้งมิได้มีการตกลงเรื่องดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์จากการกู้ยืมซึ่งผู้เสียหายจะพึงได้รับอันเป็นกรณีผิดวิสัยของปุถุชนอย่างยิ่ง ที่ผู้เสียหายอ้างว่า ให้นายวีระชัยกู้ยืมเงินเพราะสงสารเห็นใจนายวีระชัยที่โดนนายทรงวุฒิด่าว่านั้น ก็ขาดเหตุผลที่จะรับฟัง เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อผู้เสียหาย นายทรงวุฒิและนายวีระชัยมีความสัมพันธ์เป็นนายจ้างลูกจ้างผู้เสียหายก็เพิ่งจะรู้จักนายวีระชัยในวันเกิดเหตุนั้นเอง ไม่เคยมีความสนิทสนมคุ้นเคยกันมาก่อนอันจะทำให้ผู้เสียหายเกิดความเห็นใจ นายวีระชัยเช่นนั้น กรณีกลับน่าเชื่อว่าผู้เสียหายสมัครใจที่นำเงิน 3,000,000 บาท มาเพื่อร่วมกับจำเลยทั้งสองและนายวีระชัยเล่นพนันกำถั่วเพื่อโกงนายทรงวุฒิตามที่บุคคลทั้งสามชักชวนผู้เสียหายดังที่จำเลยที่ 1 นำสืบนั่นเองเพราะนายวีระชัยได้แสดงการโกงพนันกำถั่วให้ผู้เสียหายดูตลอดจนจำเลยที่ 2 ก็สอนวิธีการโกงพนันกำถั่วให้ผู้เสียหายทำดูว่าจะให้ออกหมายเลขอะไรจนผู้เสียหายแน่ใจว่าสามารถเล่นพนันกำถั่วโกงนายทรงวุฒิได้ทั้งผู้เสียหายก็อยู่ในห้องพักเกิดเหตุตลอดเวลาที่เล่นพนันกัน การที่ผู้เสียหายนำเงินจำนวน 3,000,000 บาท มามอบให้จำเลยทั้งสองกับพวกเล่นการพนันกำถั่วเพื่อโกงนายทรงวุฒิจึงเชื่อได้ว่า ผู้เสียหายสมัครใจเข้าร่วมเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยเป็นการร่วมกับจำเลยทั้งสองกระทำความผิด ผู้เสียหายจึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัยที่จะมีสิทธิร้องทุกข์ขอให้เจ้าพนักงานนำคดีขึ้นว่ากล่าวในความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share