คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1913-1915/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะแยกฟ้องจำเลยเป็นสามสำนวน โดยขอให้นับโทษจำเลยทุกสำนวนต่อกันก็ตาม แต่เมื่อศาลได้รวมพิจารณาคดีทั้งสามสำนวนเข้าด้วยกัน และปรากฏว่าจำเลยได้กระทำการอันเป็นความผิดทั้งสามสำนวน ก็ถือได้ว่าจำเลยได้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ซึ่งศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามรายสำนวนก็ได้แต่ทั้งนี้โทษจำคุกทั้งสิ้นของจำเลยในคำพิพากษาฉบับเดียวกันนี้จะต้องไม่เกิน 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 828 – 830/2511)

ย่อยาว

คดีทั้งสามสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกัน
สำนวนแรก โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนียังจับตัวไม่ได้อีกหนึ่งคน ได้ร่วมสมคบกันทำการชิงทรัพย์ของนายจวนน่วมสุวรรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๘๓, ๕๘
สำนวนที่สอง โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนียังจับตัวไม่ได้อีกหนึ่งคน ได้ร่วมสมคบกันทำการชิงทรัพย์ของนายวั่นมีศักดิ์ ไป ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๘๓, ๕๘
สำนวนที่สาม โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนี ได้ร่วมสมคบกันทำการชิงทรัพย์ของนางใบ ขาวมี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๘๓, ๕๘
ขอให้นับโทษจำเลยติดต่อกับทั้งสามสำนวน ให้บวกโทษซึ่งรอการลงโทษในคดีก่อนเข้ากับโทษที่จำเลยที่ ๑ ได้รับในคดีนี้ และขอให้ศาลสั่งจำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายด้วย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสองได้ทำการปล้นทรัพย์ทั้งสามคดีในวันเดียวกัน ต่อเนื่องกัน สถานที่เกิดเหตุทั้งสามคดีอยู่ห่างไกลกันมาก ระยะเวลาที่เกิดเหตุก็มิใช่เวลาเดียวกันจึงเป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกัน จะรวมกระทงความผิดเพื่อลงโทษเข้าด้วยกันไม่ได้ พิพากษาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีอาวุธติดตัวทำการปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐วรรค ๒, ๘๓ ให้จำคุกจำเลยทั้งสองแต่ละคดีคดีละ ๑๕ ปี นับโทษต่อกันตามลำดับคดี ทั้งให้บวกโทษจำคุก ๔๕ วัน ที่ศาลรอการลงโทษจำเลยที่ ๑ ไว้เข้าด้วย รวมแล้วจำคุกจำเลยที่ ๑ ไว้ ๔๕ ปี ๑ เดือน๑๕ วัน จำคุกจำเลยที่ ๒ ไว้ ๔๕ ปี กับให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่เจ้าทรัพย์แต่ละคดี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์จริงและเป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกัน ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาวางโทษจำเลยเป็นรายสำนวน และบวกโทษจำคุก ๔๕ วันที่ศาลรอแก่จำเลยที่ ๑ เข้าด้วยกันนั้นชอบแล้ว แต่ที่ศาลชั้นต้นจำคุกจำเลยที่ ๑ไว้ ๔๕ ปี ๑ เดือน ๑๕ วัน และจำคุกจำเลยที่ ๒ ไว้ ๔๕ ปี ซึ่งเกินกว่า ๒๐ ปีทั้งสองคนนั้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑พิพากษาแก้ ให้ลงโทษจำเลยทั้งสองทุกกระทง ตามกำหนดโทษที่ศาลชั้นต้นวางมา แต่คงให้จำคุกจำเลยแต่ละคนสำหรับโทษดังกล่าวเพียง ๒๐ ปีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีคงมีปัญหาในชั้นนี้ว่า จะลงโทษจำเลยทั้งสองโดยนับโทษแต่ละสำนวนติดต่อกันดังคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้โจทก์จะได้แยกฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นสามสำนวน แต่ละสำนวนขอให้นับโทษจำเลยทุกสำนวนต่อกันก็ตาม แต่เมื่อศาลได้รวมพิจารณาคดีทั้งสามสำนวน ก็ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ซึ่งศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามรายสำนวนได้แต่ทั้งนี้ โทษจำคุกทั้งสิ้นของจำเลยแต่ละคนในคำพิพากษาฉบับเดียวกันนี้ จะต้องไม่เกิน ๒๐ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๘๒๘-๘๓๐/๒๕๑๑ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยทั้งสองทุกกระทงตามกำหนดโทษที่ศาลชั้นต้นวางมา แต่คงให้จำคุกจำเลยแต่ละคนสำหรับโทษดังกล่าวเพียง ๒๐ ปี นั้น ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาโจทก์

Share