แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในกรณีที่ศาลวินิจฉัยว่าควรฟังพยานฝ่ายใด และพิพากษาให้ชนะคดีแล้วนั้น. ยังไม่เป็นเหตุพอที่จะถือว่าฝ่ายผู้แพ้คดีมีเจตนาเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีนั้นๆ เสมอไป.เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยิ่งขึ้นไปกว่าที่ปรากฏแล้วในสำนวนหรือคดีเดิม. อันจะพึงแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งปราศจากสงสัยว่าจำเลยมีเจตนาเบิกความเท็จในข้อสำคัญในการพิจารณาคดีดังกล่าวแล้ว. ก็ฟังลงโทษจำเลยในฐานนี้ไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันบังอาจแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในคำฟ้องและในการพิจารณาคดี ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177, 180, 91 และ 83 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยสาบานตนเบิกความเท็จในข้อสำคัญแห่งคดีนั้น จำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177ส่วนข้อหาฐานนำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 180 นั้น พยานโจทก์ยังไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ให้จำคุกคนละหนึ่งปี และยกข้อหาอื่น จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า ในกรณีที่ศาลวินิจฉัยว่าควรฟังพยานฝ่ายใดและพิพากษาให้ชนะคดีแล้วนั้น ยังไม่เป็นเหตุพอที่จะถือว่าฝ่ายผู้แพ้คดีมีเจตนาเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีนั้น ๆ เสมอไปเมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยิ่งขึ้นไปกว่าที่ปรากฏแล้วในสำนวนหรือคดีเดิม อันจะพึงแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งปราศจากสงสัยว่า จำเลยมีเจตนาเบิกความเท็จในข้อสำคัญในการพิจารณาคดีดังกล่าวแล้วก็ฟังลงโทษจำเลยในฐานนี้ไม่ได้ พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องโจทก์.