แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ภาษีธุรกิจเฉพาะมิใช่ค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแต่เป็นภาษีอากรที่ประมวลรัษฎากรมาตรา91/2(6)บังคับให้ผู้ประกอบกิจการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นผู้เสียและมิใช่ภาษีหักณที่จ่ายแต่เป็นหน้าที่ของผู้ประกอบกิจการจะต้องไปยื่นชำระภายในวันที่15ของเดือนถัดไปตามมาตรา91/10โจทก์เป็นผู้ขายที่ดินให้แก่จำเลยโจทก์จึงเป็นผู้รับผิดชำระค่าภาษีธุรกิจเฉพาะแม้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอมโจทก์และจำเลยจะตกลงกันให้ค่าภาษีอากรในการโอนทั้งหมดออกกันคนละครึ่งก็จะแปลให้จำเลยต้องชำระค่าภาษีธุรกิจเฉพาะครึ่งหนึ่งด้วยไม่ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินพิพาทของโจทก์โฉนดเลขที่ 1293 และ1733 ต่อมาโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 แล้วโจทก์กับจำเลยที่ 2ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยมีข้อตกลงข้อ 1 ใจความว่าจำเลยที่ 2 ตกลงจะซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์และเมื่อจำเลยที่ 2ชำระราคาครบถ้วนแล้ว โจทก์จะจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ส่วนค่าฤชาธรรมเนียม ค่าภาษีอากรในการโอนทั้งหมดและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการโอนกรรมสิทธิ์โจทก์กับจำเลยที่ 2ออกคนละครึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความคดีถึงที่สุด
โจทก์ยื่นคำร้องว่า โจทก์และจำเลยที่ 2 ไปจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยมีค่าฤชาธรรมเนียม ค่าภาษีอากรและค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ 4 รายการ คือ 1. ค่าธรรมเนียมในการโอน 2. ค่าอากร 3. ค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณที่จ่าย 4. ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่จำเลยที่ 2 ไม่ยอมจ่ายค่าภาษีอากรรายการที่ 3 และที่ 4 อีกครึ่งหนึ่ง ขอให้ชี้ขาดเพื่ออธิบายว่าจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดในเงินดังกล่าวอีกครึ่งหนึ่งหรือไม่ส่วนจำเลยที่ 2 ยื่นคำคัดค้านว่า ค่าภาษีอากรรายการที่ 3 และที่ 4 ตามคำร้องของโจทก์นั้นเป็นหน้าที่ส่วนตัวของโจทก์ที่จะต้องจ่ายเองจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิด
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องของโจทก์ว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 25 เมษายน 2537 ข้อ 1ตอนท้ายระบุว่า ค่าฤชาธรรมเนียม ค่าภาษีอากรในการโอนทั้งหมดและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการโอนกรรมสิทธิ์นั้น โจทก์กับจำเลยที่ 2 ออกกันคนละครึ่ง เห็นว่า ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณที่จ่าย กับค่าภาษีธุรกิจเฉพาะเป็นค่าภาษีอากรอย่างหนึ่ง เมื่อตกลงกันออกคนละครึ่ง โจทก์กับจำเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่ต้องออกค่าภาษีเงินได้และภาษีธุรกิจเฉพาะฝ่ายละครึ่งตามข้อตกลง
จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 ยอมจ่ายค่าภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายครึ่งหนึ่ง แต่ภาษีธุรกิจเฉพาะนั้นไม่มีการเรียกเก็บ ณ สำนักงานที่ดินในวันโอนกรรมสิทธิ์ซึ่งตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้หมายถึงภาษีชนิดนี้ด้วยขอให้ยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งเดิมที่ให้จำเลยที่ 2 ออกเงินค่าภาษีธุรกิจเฉพาะคนละครึ่งกับโจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ยังไม่มีเหตุจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมให้ยกคำร้อง
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์ ทั้ง สอง คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีได้ความว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ศาลพิพากษาตามยอมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ข้อ 1 ตอนท้ายระบุว่า “หากจำเลยที่ 2 ชำระเงินให้แก่โจทก์ครบถ้วนแล้ว โจทก์จะจัดการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ชำระเงินครบถ้วนส่วนค่าฤชาธรรมเนียม ค่าภาษีอากรในการโอนทั้งหมดและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการโอนกรรมสิทธิ์นั้น โจทก์กับจำเลยที่ 2ออกกันคนละครึ่ง” มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2ว่าตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว จำเลยที่ 2 ต้องออกค่าภาษีธุรกิจเฉพาะครึ่งหนึ่งหรือไม่ เห็นว่า ภาษีธุรกิจเฉพาะมิใช่ค่าใช้จ่ายในการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน แต่เป็นภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/2(6) ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทางค้าหรือหากำไร (ฉบับที่ 244) พ.ศ. 2534 ซึ่งบังคับให้ผู้ประกอบกิจการขายอสังหาริมทรัพย์ตกอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งภาษีประเภทนี้มิใช่เป็นภาษีหัก ณ ที่จ่ายแต่เป็นหน้าที่ของผู้ประกอบกิจการจะต้องไปยื่นชำระภายในวันที่ 15ของเดือนถัดไป ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 91/10 เมื่อโจทก์เป็นผู้ประกอบกิจการขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งศาลพิพากษาตามยอมโจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเป็นผู้รับผิดชำระค่าภาษีธุรกิจเฉพาะซึ่งเกิดจากลักษณะการประกอบกิจการของโจทก์เอง แม้สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 กำหนดให้ค่าภาษีอากรในการโอนทั้งหมดออกกันคนละครึ่งก็จะแปลให้จำเลยที่ 2 ต้องชำระค่าภาษีธุรกิจเฉพาะครึ่งหนึ่งด้วยไม่ได้เพราะเท่ากับให้จำเลยที่ 2ต้องชำระภาษีในกิจการของโจทก์นอกเหนือไปจากภาษีที่ต้องจ่ายในขณะที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ตามข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดออกค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ