คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5352/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อปี 2517 โจทก์ฟ้องขับไล่สามีจำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ 2021 ของโจทก์ซึ่งให้สามีจำเลยเช่า สามีจำเลยต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเดิมเป็นที่รกร้างว่างเปล่า สามีจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ ไม่ใช่ที่ดินตามโฉนดดังกล่าว ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของสามีจำเลย และอยู่นอกเขตโฉนดเลขที่ 2021โจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาท ให้ยกฟ้องโจทก์ การที่โจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยในคดีนี้ออกจากที่ดินพิพาทอีกนั้น เมื่อปรากฏว่าจำเลยในคดีนี้เป็นภรรยาของจำเลยในคดีก่อนและได้ร่วมครอบครองที่ดินพิพาทกับจำเลยในคดีก่อนตลอดมาจนกระทั่งจำเลยในคดีก่อนถึงแก่ความตาย จากนั้นจำเลยในคดีนี้ได้ครอบครองที่ดินพิพาทสืบต่อมา จำเลยในคดีนี้จึงเป็นผู้สืบสิทธิจากจำเลยในคดีก่อน ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับคดีก่อน ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ ซึ่งต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องตาม ป.วิ.พ.มาตรา 148

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๐๒๑ เนื้อที่๓๓ ไร่ ๒๐ ตารางวา เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๓ โจทก์ยื่นคำขอรังวัดเพื่อสอบเขตที่ดินแปลงดังกล่าว ต่อมาวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๓๓ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดชลบุรีมาทำการรังวัด จำเลยคัดค้านว่าที่ดินที่โจทก์นำรังวัดบางส่วนทางทิศตะวันออกเนื้อที่ ๑๘ ไร่ ๑ งาน ๔๔ ตารางวา เป็นที่ดินที่จำเลยครอบครองอยู่ โจทก์จึงทราบว่าจำเลยบุกรุกเข้ามาในที่ดินของโจทก์ โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไปจำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์ขาดประโยชน์จากการนำไปให้เช่าเดือนละ ๒๐,๐๐๐บาท ขอให้บังคับจำเลยไปถอนคำคัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๐๒๑หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้จำเลยรื้อถอนและขนย้ายสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าว ห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไปให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนและขนย้ายสิ่งปลูกสร้างพร้อมทั้งบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า ที่ดินตามฟ้องเป็นของจำเลย จำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์และปลูกบ้านอยู่อาศัยมาตั้งแต่ปี ๒๔๙๑ จนถึงปัจจุบันและได้สิทธิในที่ดินดังกล่าวตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๒๘๐/๒๕๒๓ ไม่ได้บุกรุกที่ดินของโจทก์ ที่ดินพิพาทหากให้เช่าจะได้ค่าเช่าไร่ละไม่เกิน ๒๐๐ บาท ต่อปี ฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำเพราะศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาแล้วว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยเป็นภรรยานายอินทร์ ไชยอุด ตามใบสำคัญการสมรสเอกสารหมาย ล.๒ เมื่อปี ๒๕๑๗โจทก์ฟ้องขับไล่สามีจำเลยออกจากที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๐๒๑ ตำบลหนองบอนแดง อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรีของโจทก์ซึ่งให้สามีจำเลยเช่าสามีจำเลยต่อสู้ว่าที่ดินพิพาท เดิมเป็นที่รกร้างว่างเปล่า สามีจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ ไม่ใช่ที่ดินตามโฉนดดังกล่าวศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของสามีจำเลย และอยู่นอกเขตโฉนดเลขที่ ๒๐๒๑ โจทก์ไม่มีสิทธิใด ๆ ในที่ดินพิพาท ให้ยกฟ้องโจทก์ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๒๘๐/๒๕๒๓ ต่อมาวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๓๓ โจทก์โดยนางสาวดวงพร ขจรไชยกุล พี่โจทก์นำช่างรังวัดมารังวัดที่ดินพิพาทอ้างว่าเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ ๒๐๒๑ จำเลยคัดค้านการรังวัดว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยกับสามีจำเลย ครั้นวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๓๔ สามีจำเลยถึงแก่ความตาย หลังจากนั้นโจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยในคดีนี้ออกจากที่ดินพิพาทเป็นการฟ้องซ้ำกับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๒๘๐/๒๕๒๓ ซึ่งโจทก์ฟ้องขับไล่สามีจำเลยออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่าจำเลยในคดีนี้เป็นภรรยาของจำเลยในคดีก่อนได้ร่วมครอบครองที่ดินพิพาทกับจำเลยในคดีก่อนตลอดมาจนกระทั่งจำเลยในคดีก่อนถึงแก่ความตาย จากนั้นจำเลยในคดีนี้ได้ครอบครองที่ดินพิพาทสืบต่อมา จำเลยในคดีนี้จึงเป็นผู้สืบสิทธิจากจำเลยในคดีก่อนถือได้ว่าโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นคู่ความเดียวกันกับคดีก่อน การที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทจึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๒๘๐/๒๕๒๓จึงต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าเหตุคดีนี้จำเลยเพิ่งคัดค้านการรังวัดเมื่อปี ๒๕๓๓ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำนั้น ข้ออ้างนี้โจทก์ไม่ได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นอุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบ ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๒๔๙ วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน.

Share