คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1619/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีที่โจทก์ฟ้องขับไล่และจำเลยอ้างว่าได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ ที่สุดศาลได้พิพากษาให้เป็นไปตามยอมนั้น ข้อตกลงที่โจทก์ยอมให้จำเลยอยู่ในห้องพิพาทต่อไปอีก 3 ปีโดยจำเลยยอมเสียค่าเช่าแก่โจทก์เดือนละ 70 บาทนั้น เป็นสาระสำคัญข้อหนึ่งแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลย เมื่อครบกำหนดจำเลยไม่ยอมออก โจทก์ก็ชอบที่จะขอให้บังคับจำเลยได้เพราะเป็นการบังคับคดีตามคำพิพากษา

ย่อยาว

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกแถว ซึ่งโจทก์อ้างว่าให้จำเลยเช่าเพื่อประกอบการค้าและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้หลายประการ ในที่สุดโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาล ลงวันที่ 11 สิงหาคม 2492 มีใจความสำคัญโจทก์ยอมให้จำเลยเช่าอยู่ต่อไปอีก 3 ปี เมื่อครบกำหนดแล้วจำเลยยอมออกจากห้องพิพาททันที

ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาลงวันที่ 11 สิงหาคม 2492 ให้คดีเป็นอันเสร็จเด็ดขาดไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น และได้มีคำบังคับตามยอมในวันเดียวกันนั้น

ครั้นพ้นกำหนด 3 ปีแล้วจำเลยไม่ยอมออกจากห้องเช่ารายนี้โจทก์จึงยื่นคำร้องลงวันที่ 26 สิงหาคม 2495 ขอให้ศาลบังคับจำเลยและบริวารออกจากห้องรายพิพาท

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตามรายงานพิจารณาลงวันที่ 13 กันยายน 2495บังคับให้จำเลยออกจากห้องพิพาทภายใน 30 วัน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อตกลงที่จำเลยจะออกไปจากห้องพิพาทในเวลาข้างหน้าเป็นแต่เพียงคำมั่นที่จะให้ความยินยอมออกจากห้องเช่าเมื่อครบกำหนด 3 ปี มิใช่ว่าผู้ให้เช่าได้รับความยินยอมของผู้เช่าในการเลิกใช้ทรัพย์ที่เช่าตามมาตรา 16(5) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ และตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 848/2491 ระหว่างนายเทียมหยู แซ่ลิ้ม โจทก์ นายเกียเซ้ง แซ่เฮ้ง จำเลย คำมั่นเช่นนี้มิใช่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ คำพิพากษาตามยอมไม่กินความถึง โจทก์ยังไม่มีสิทธิที่จะขอให้ศาลออกคำสั่งขับไล่จำเลยออกจากห้องพิพาท พิพากษากลับให้ยกคำสั่งบังคับคดีของศาลชั้นต้นในส่วนนี้เสีย

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่าข้อตกลงที่โจทก์ยอมให้จำเลยอยู่ในห้องพิพาทต่อไปอีก 3 ปี โดยจำเลยยอมเสียค่าเช่าให้แก่โจทก์นั้น เห็นได้ว่าเป็นสาระสำคัญข้อหนึ่งแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์จำเลยเพราะเป็นข้อที่ทั้งสองฝ่ายต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันเพื่อระงับข้อพิพาทอันมีอยู่ในศาล ฉะนั้นเมื่อครบกำหนด 3 ปีจำเลยไม่ยอมออกจากห้องพิพาท โจทก์ก็ชอบที่จะขอให้บังคับจำเลยได้เพราะศาลได้มีคำพิพากษาให้เป็นไปตามยอมนั้นแล้ว คำพิพากษาฎีกาที่ศาลอุทธรณ์อ้างมานั้น ไม่ใช่เรื่องที่มีคำพิพากษาของศาลบังคับไว้จึงเอามาปรับกับคดีนี้ไม่ได้

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้บังคับคดีไปตามคำสั่งของศาลชั้นต้น

Share