แหล่งที่มา : ส่วนเลขานุการคณะกรรมการวินิจฉัยฯ
ย่อสั้น
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินจากบิดา โดยบิดาบริจาคที่ดินให้สร้างถนน มีความกว้าง ๘ เมตร ที่ดินนอกเหนือจากนั้นได้ปลูกต้นไม้ไว้ ต่อมาการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ได้ปักเสาไฟฟ้าเลยไหล่ถนนและต้นไม้ซึ่งบริเวณดังกล่าวไม่ได้บริจาคให้เป็นที่สาธารณะ ขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนทะเบียนเขตทางที่หน่วยงานของรัฐระบุไว้กว้างเกิน ๘ เมตร และย้ายเสาไฟฟ้าออกจากที่ดินพิพาท ผู้ถูกฟ้องคดีให้การทำนองเดียวกันว่า ถนนพิพาทประชาชนเป็นผู้บริจาคที่ดินให้และมีการจัดทำทะเบียนประวัติไว้ว่ามีความกว้างระหว่าง ๘ ถึง ๑๕ เมตร การปักเสาไฟฟ้าในที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เห็นว่า การที่ศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอได้นั้นจำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทที่บิดาของผู้ฟ้องคดีบริจาคให้เป็นถนนมีจำนวนเนื้อที่เท่าใดกันแน่หรือที่ดินพิพาทตกเป็นที่สาธารณะแล้วหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป ทั้งเมื่อพิจารณาเจตนาของผู้ฟ้องคดีที่ฟ้องคดีนี้ก็เพื่อประสงค์จะให้ศาลรับรองและคุ้มครองกรรมสิทธิ์ในที่ดิน จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ย่อยาว
(สำเนา)
คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ ๙๐/๒๕๕๙
วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๙
เรื่อง คดีเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน
ศาลปกครองกลาง
ระหว่าง
ศาลจังหวัดสระบุรี
การส่งเรื่องต่อคณะกรรมการ
ศาลปกครองกลางโดยสำนักงานศาลปกครองส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลพิจารณาวินิจฉัยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง (๓) ซึ่งเป็นกรณีคู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องคดีโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่รับฟ้องคดี และศาลที่ส่งความเห็นและศาลที่รับความเห็นมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องเขตอำนาจศาลในคดีนี้
ข้อเท็จจริงในคดี
เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๘ นางคำพูน ฝ่ายผุย ผู้ฟ้องคดี ยื่นฟ้อง องค์การบริหารส่วนจังหวัดสระบุรี ที่ ๑ กรมทางหลวงชนบท ที่ ๒ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ๑๐๘๕/๒๕๕๘ ความว่า ผู้ฟ้องคดีฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องว่า บิดามารดาของผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๙๒ ตำบลคชสิทธิ์ อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรีต่อมาในปี ๒๕๓๙ บิดาของผู้ฟ้องคดีบริจาคที่ดินให้สร้างถนนเส้นทางสายบ้านชะโงก-บ้านหนองอุ่มผ่านที่ดินแปลงดังกล่าว มีความกว้าง ๘ เมตร ส่วนที่นอกเหนือจาก ๘ เมตร ได้ปลูกต้นไม้ไว้ ต่อมาการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาอำเภอหนองแค ได้ปักเสาไฟฟ้า ๖ ต้น โดยปักเสาไฟฟ้าเลยไหล่ถนนและต้นไม้ซึ่งบริเวณดังกล่าวไม่ใช่ที่ดินที่ได้บริจาคให้เป็นที่สาธารณะ ต่อมาในปี ๒๕๔๑ ผู้ฟ้องคดีได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่แปลงดังกล่าวจากบิดา ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือถึงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสระบุรีเพื่อขอรังวัดที่ดิน ที่บริจาคให้เป็นทางสาธารณะ แต่ผู้ฟ้องคดีขอยกเลิกการรังวัดเนื่องจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดสระบุรีมาชี้รังวัดกว้างเกินกว่าที่บริจาคให้แต่แรก ปี ๒๕๕๘ บิดาของผู้ฟ้องคดีทำหนังสือคัดค้านเขตถนนที่บริจาคให้ แต่องค์การบริหารส่วนจังหวัดสระบุรีแจ้งว่าปัจจุบันเขตทางดังกล่าวลงทะเบียนเป็นทางหลวงชนบท เขตทางอยู่ที่ ๘ ถึง ๑๕ เมตร จึงไม่สามารถแก้ไขแนวเขตของถนน ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบดังกล่าว ขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนทะเบียนเขตทางที่หน่วยงานของรัฐระบุไว้ กว้างเกิน ๘ เมตร กับให้เจ้าหน้าที่ออกรังวัดแบ่งเขตที่ดินให้ชัดเจน และย้ายเสาไฟฟ้าออกจากที่ดินของผู้ฟ้องคดี
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ให้การทำนองเดียวกันว่า ถนนพิพาทก่อสร้างเมื่อปี ๒๕๓๙ โดยสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท ซึ่งประชาชนเป็นผู้บริจาคที่ดินให้และมีการจัดทำทะเบียนประวัติไว้ว่ามีความกว้างระหว่าง ๘ ถึง ๑๕ เมตร ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๕ จึงได้โอนถนนพิพาทให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ การลงทะเบียนทางหลวงท้องถิ่นจึงใช้ข้อมูลเดิมที่มีการกำหนดความกว้าง ของเขตทางไว้แล้วและได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัด จึงไม่สามารถแก้ไขแปลี่ยนแปลงได้ ถนนพิพาทก่อสร้างมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๙ จนถึงปัจจุบันนานกว่า ๑๙ ปีแล้ว ไม่ปรากฏว่าบิดาของผู้ฟ้องคดีคัดค้านหรือโต้แย้งการสร้างถนนอันเป็นการอุทิศที่ดินให้โดยปริยาย ที่ดินพิพาทบางส่วนจึงตกเป็น ที่สาธารณะสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ให้การว่า ขณะเข้าดำเนินการปักเสาไฟฟ้า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ เชื่อโดยสุจริตว่าบริเวณดังกล่าวเป็นทางสาธารณประโยชน์ซึ่งประชาชนใช้ร่วมกัน ขอให้ยกฟ้อง
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาลว่า คดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
ศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีมีประเด็นที่ต้องพิจารณาเพียงว่าการที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ คัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีโดยอ้างเขตทางตามเอกสารการลงทะเบียนเป็นทางหลวงท้องถิ่นเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลจะต้องตรวจสอบและวินิจฉัยว่าการลงทะเบียนดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ มีผลทางกฎหมาย เป็นอย่างไร และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ สามารถยกขึ้นอ้างเพื่อเป็นเหตุคัดค้านการรังวัดสอบเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดีได้หรือไม่เท่านั้น โดยไม่จำต้องพิจารณาวินิจฉัยเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดินในบริเวณที่พิพาท แต่อย่างใด คดีจึงไม่เข้าลักษณะเป็นการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน แต่เข้าลักษณะเป็นคดีพิพาท เกี่ยวกับการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ศาลจังหวัดสระบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าบิดาของผู้ฟ้องคดี ได้บริจาคที่ดินแปลงพิพาทให้สร้างถนนมีความกว้าง ๘ เมตร ต่อมาผู้ฟ้องคดีได้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงพิพาท แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ยืนยันว่าความกว้างของถนนไม่น้อยกว่า ๘ เมตรหรือ กว้าง ๘ ถึง ๑๕ เมตร โดยอ้างหลักฐานการลงทะเบียนเป็นทางหลวงท้องถิ่น ดังนั้นการที่หน่วยงานของรัฐได้ ลงทะเบียนเขตทางระบุไว้เกิน ๘ เมตร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าต่างฝ่ายต่างกล่าวอ้างสิทธิของตน จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิ์ในส่วนของทางที่เกิน ๘ เมตร ว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดีหรือไม่ ก่อนที่จะพิจารณาวินิจฉัยว่า การลงทะเบียนเป็นทางหลวงท้องถิ่นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ตามที่ผู้ฟ้องคดีร้องขอในประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวจำต้องพิจารณาข้อเท็จจริงไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ ว่าด้วยทรัพย์สิน ดังนั้นจึงเห็นว่า คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕
คำวินิจฉัย
ปัญหาที่ต้องพิจารณา คดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองหรือ ศาลยุติธรรม
คณะกรรมการพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีเป็นเอกชนยื่นฟ้องหน่วยงานทางปกครองว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้รับโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๒ จากบิดา โดยบิดาของผู้ฟ้องคดีบริจาคที่ดินให้สร้างถนนเส้นทาง สายบ้านชะโงก-บ้านหนองอุ่ม ผ่านที่ดินแปลงดังกล่าว มีความกว้าง ๘ เมตร ที่ดิน นอกเหนือจากนั้นได้ปลูกต้นไม้ไว้ ต่อมาการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาอำเภอหนองแค ได้ปักเสาไฟฟ้า ๖ ต้น โดยปักเสาไฟฟ้าเลยไหล่ถนนและต้นไม้ ซึ่งบริเวณดังกล่าวไม่ได้บริจาคให้เป็นที่สาธารณะ ผู้ฟ้องคดี ได้มีหนังสือถึงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสระบุรีเพื่อขอรังวัดที่ดินที่บริจาคให้เป็นทางสาธารณะ แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ แจ้งว่าปัจจุบันเขตทางดังกล่าวลงทะเบียนเป็นทางหลวงชนบทเขตทางอยู่ที่ ๘ ถึง ๑๕ เมตร จึงไม่สามารถแก้ไขแนวเขตของถนน ผู้ฟ้องคดีได้รับความเดือดร้อนจากผลกระทบดังกล่าว ขอให้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนทะเบียนเขตทางที่หน่วยงานของรัฐระบุไว้กว้าง เกิน ๘ เมตร กับให้เจ้าหน้าที่ออกรังวัดแบ่งเขตที่ดินให้ชัดเจนและย้ายเสาไฟฟ้าออกจากที่ดิน ของผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ให้การทำนองเดียวกันว่า ถนนพิพาทก่อสร้างเมื่อปี ๒๕๓๙ โดยสำนักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท ซึ่งประชาชนเป็นผู้บริจาคที่ดินให้และมีการจัดทำทะเบียนประวัติ ไว้ว่ามีความกว้างระหว่าง ๘ ถึง ๑๕ เมตร ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๔๕ จึงได้โอนถนนพิพาท ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ การลงทะเบียนทางหลวงท้องถิ่นจึงใช้ข้อมูลเดิมที่มีการกำหนดความกว้าง ของเขตทางไว้แล้วและได้รับอนุมัติจากผู้ว่าราชการจังหวัด จึงไม่สามารถแก้ไขแปลี่ยนแปลงได้ ถนนพิพาทก่อสร้างมาตั้งแต่ปี ๒๕๓๙ จนถึงปัจจุบันนานกว่า ๑๙ ปีแล้ว ไม่ปรากฏว่าบิดาของผู้ฟ้องคดีคัดค้านหรือโต้แย้งการสร้างถนนอันเป็นการอุทิศที่ดินให้โดยปริยาย ที่ดินพิพาทบางส่วนจึงตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ให้การว่า ขณะเข้าดำเนินการ ปักเสาไฟฟ้าเชื่อโดยสุจริตว่าที่ดินบริเวณดังกล่าวเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เห็นว่า แม้เหตุแห่งการฟ้องคดีนี้จะสืบเนื่องมาจากผู้ฟ้องคดีฟ้องขอเพิกถอนทะเบียนเขตทางที่กว้าง เกินกว่า ๘ เมตร กับให้เจ้าหน้าที่ออกรังวัดแบ่งเขตที่ดินให้ชัดเจนและย้ายเสาไฟฟ้าออกจากที่ดินของ ผู้ฟ้องคดีก็ตาม แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และที่ ๒ ก็ให้การต่อสู้ว่าที่ดินพิพาทเป็นทางสาธารณะ ดังนั้นการที่ศาล จะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งตามคำขอได้นั้น จำต้องพิจารณาให้ได้ความเสียก่อนว่า ที่ดินพิพาทที่บิดาของ ผู้ฟ้องคดีบริจาคให้เป็นถนนมีจำนวนเนื้อที่เท่าใดกันแน่ หรือที่ดินพิพาทตกเป็นที่สาธารณะแล้วหรือไม่ แล้วจึงจะพิจารณาประเด็นอื่นได้ต่อไป ทั้งเมื่อพิจารณาเจตนาของผู้ฟ้องคดีที่ฟ้องคดีนี้ก็เพื่อประสงค์จะให้ศาลรับรองและคุ้มครองกรรมสิทธิ์ในที่ดิน จึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดิน อยู่ในอำนาจ พิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
จึงวินิจฉัยชี้ขาดว่า คดีระหว่าง นางคำพูน ฝ่ายผุย ผู้ฟ้องคดี องค์การบริหารส่วนจังหวัดสระบุรี ที่ ๑ กรมทางหลวงชนบท ที่ ๒ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ ๓ ผู้ถูกฟ้องคดี อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) วีระพล ตั้งสุวรรณ (ลงชื่อ) จิรนิติ หะวานนท์
(นายวีระพล ตั้งสุวรรณ) (นายจิรนิติ หะวานนท์)
ประธานศาลฎีกา กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลยุติธรรม
(ลงชื่อ) ปิยะ ปะตังทา (ลงชื่อ) ชาญชัย แสวงศักดิ์
(นายปิยะ ปะตังทา) (นายชาญชัย แสวงศักดิ์)
ประธานศาลปกครองสูงสุด กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลปกครอง
(ลงชื่อ) พลเรือโท ปรีชาญ จามเจริญ (ลงชื่อ) พลตรี พัฒนพงษ์ เกิดอุดม
(ปรีชาญ จามเจริญ) (พัฒนพงษ์ เกิดอุดม)
หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศาลทหาร
(ลงชื่อ) จิระ บุญพจนสุนทร
(นายจิระ บุญพจนสุนทร)
กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ