คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1904/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สำเนาทะเบียนบ้านซึ่งมีนายทะเบียนอำเภอรับรองถูกต้อง ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง กรณีจึงไม่จำเป็นต้องนำพนักงานเจ้าหน้าที่ที่รับรองสำเนานั้นมาเป็นพยานเบิกความรับรองอีก และแม้โจทก์เพิ่งส่งต่อศาลเมื่อสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยเสร็จแล้ว แต่ปรากฏว่าเมื่อโจทก์ส่งเป็นพยานหลักฐานต่อศาล จำเลยก็ไม่ได้คัดค้าน ศาลจึงมีอำนาจรับฟังสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 70,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 70,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 3,000 บาท
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์และจำเลยรู้จักกันมากว่า 10 ปี แล้ว ปัจจุบันจำเลยมีชื่อว่า “นายฉ่อย ศรีสุวรรณ์” อยู่บ้านเลขที่ 3/3 หมู่ที่ 6 ตำบลสายลำโพง อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ มารดาและบิดาชื่อ นางน้อยและนายชู ปรากฏตามสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย ล. 2 และ ล. 3 และสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารลำดับที่ 40 ที่ที่ว่าการอำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ส่งมาในคดีนี้ตามสัญญากู้เงินที่โจทก์อ้างเป็นมูลฟ้องคดีนี้ ชื่อและลายมือชื่อผู้กู้คือนายช่วย ศรีสุวรรณ์ อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 84 หมู่ที่ 1 ตำบลสายลำโพง อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ลายมือชื่อตัวและชื่อสกุลของจำเลยที่เคยลงนามในเอกสารสำคัญต่าง ๆ ปรากฏในสัญญากู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และรายงานเบิกเงินกู้จากธนาคารเดียวกันตามเอกสารหมาย จ. 5 และ จ. 6
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยทำสัญญากู้เงินโดยใช้ชื่อว่านายช่วย ศรีสุวรรณ์ และรับเงินไปจากโจทก์หรือไม่ ปรากฏตามสำเนาทะเบียนบ้านเลขที่ 3/3 หมู่ที่ 6 ตำบลสายลำโพง อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ และบ้านเลขที่ 84 หมู่ที่ 1 ตำบลสายลำโพง อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์ ตามเอกสารหมาย จ. 4 ว่า บุคคลที่เดิมชื่อว่านายช่วย ศรีสุวรรณ์ นั้น ได้มีการเปลี่ยนชื่อเป็นนายฉ่อย ศรีสุวรรณ์ บุคคลนี้มีมารดาและบิดาคือนางน้อยและนายชูเช่นเดียวกันกับนายฉ่อย ศรีสุวรรณ์ บุคคลที่ชื่อว่านายฉ่อย ศรีสุวรรณ์ นั้นแม้ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ 3/3 แต่ก็เคยอยู่ร่วมกับบุตรคนอื่น ๆ ของนางน้อยและนายชูที่บ้านเลขที่ 84 มาก่อน ซึ่งความเป็นมาของบุคคลชื่อช่วยและฉ่อยตามที่ปรากฏในสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ. 4 นี้ สอดคล้องกับที่จำเลยเบิกความตอบคำถามค้านทนายโจทก์ยอมรับว่า จำเลยเคยอยู่ที่บ้านเลขที่ 84 แต่เมื่อมีภริยาจึงได้ย้ายไปอยู่บ้านเลขที่ 3/3 พี่น้องร่วมบิดามารดาของจำเลยไม่มีใครอื่นที่เคยมีชื่อว่านายช่วย ศรีสุวรรณ์ นอกจากนี้เมื่อพิเคราะห์ลายมือชื่อตัวและลายมือชื่อสกุลของนายช่วย ศรีสุวรรณ์ ผู้กู้ในสัญญากู้เงินเปรียบเทียบกับลายมือชื่อตัวและชื่อสกุลของจำเลยที่ใช้ว่านายฉ่อย ศรีสุวรรณ์ ในช่องผู้รับสำเนาทะเบียนบ้านหลังสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ. 4 ลายมือชื่อตัวและชื่อสกุลของจำเลยที่ใช้ว่านายฉ่อย ศรีสุวรรณ์ ในสัญญากู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรและรายงานเบิกเงินกู้จากธนาคารเดียวกัน ตามเอกสารหมาย จ. 5 และ จ. 6 แล้วเห็นได้ชัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของลายมือชื่อสกุลว่ามีลักษณะการเขียน ลายเส้นและลีลาการเขียนที่คล้ายคลึงกันจนน่าเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน ทั้งโจทก์ยังมีตัวโจทก์ นายธนพจน์ ซึ่งเป็นผู้เขียนสัญญากู้ และนางกาญจนาซึ่งเป็นพยานในสัญญากู้เบิกความยืนยันว่าจำเลยได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้เงินและได้รับเงินกู้ไปจากโจทก์ครบถ้วนแล้วจริง ส่วนจำเลยคงมีเพียงจำเลยมาเบิกความลอย ๆ ว่าจำเลยกู้เงินโจทก์เมื่อปี 2521 เพียง 400 บาท และนำข้าวโพดไปตีใช้หนี้ภายในปีเดียวกันแล้ว กับเบิกความประกอบสำเนาทะเบียนบ้านเลขที่ 84 เอกสารหมาย ล. 1 ว่าจำเลยไม่เคยชื่อช่วย และไม่ปรากฏชื่อนายช่วยอยู่บ้านเลขที่ 84 แต่สำเนาทะเบียนบ้านเลขที่ 84 ตามเอกสารหมาย ล. 1 ที่จำเลยนำสืบนั้น ปรากฏว่าเป็นสำเนาทะเบียนบ้านฉบับปัจจุบันของบ้านเลขที่ 84 ซึ่งไม่ได้แสดงถึงชื่อผู้ที่เคยอยู่ในบ้านหลังนี้ที่ได้ย้ายออกไปแล้ว พยานหลักฐานของจำเลยจึงมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ คดีฟังได้ว่าจำเลยทำสัญญากู้เงินโดยใช้ชื่อว่านายช่วย ศรีสุวรรณ์ และรับเงินไปจากโจทก์
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า สำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ. 4 โจทก์มิได้นำพนักงานเจ้าหน้าที่ที่รับรองสำเนาถูกต้องมาเบิกความต่อศาลและมิได้นำเสนอต่อศาลในระหว่างสืบพยานโจทก์หรือพยานจำเลย เพื่อให้จำเลยได้ถามค้าน จึงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้นั้น เห็นว่า เอกสารดังกล่าวเป็นสำเนาทะเบียนบ้านซึ่งมีนายทะเบียนอำเภอท่าตะโกรับรองถูกต้อง จึงต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นของแท้จริงและถูกต้อง กรณีจึงไม่จำเป็นต้องนำพนักงานเจ้าหน้าที่รับรองสำเนานั้นมาเป็นพยานเบิกความรับรองอีก และแม้โจทก์เพิ่งส่งต่อศาลเมื่อสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยเสร็จแล้ว แต่ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 22 สิงหาคม 2544 ก็ปรากฏว่า เมื่อโจทก์ส่งเป็นพยานหลักฐานต่อศาล จำเลยก็ไม่ได้คัดค้าน ศาลจึงมีอำนาจรับฟังสำเนาทะเบียนบ้านเอกสารหมาย จ. 4 เป็นพยานหลักฐานได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share