แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประเด็นแห่งคดีของโจทก์ที่ต้องการให้ศาลตัดสินตามข้อเท็จจริงในคำฟ้องที่บรรยายไว้เป็นข้ออ้างในฟ้องเป็นเรื่องให้ศาลวินิจฉัยในเรื่องภารจำยอมเท่านั้นโดยที่ในคำฟ้องของโจทก์ทั้งเก้ามิได้บรรยายเรื่องทางจำเป็นไว้คงบรรยายแต่เพียงเรื่องที่ดินมีอาณาเขตติดต่อกันแล้วใช้ทางเดินในที่ดินจำเลยที่ใช้เดินมาตั้งแต่เจ้าของเดิมแล้วจำเลยเอาเสาปูนมาปักปิดกั้นโดยเจตนากลั่นแกล้งปิดกั้นทางเดินของโจทก์เท่านั้นดังนี้การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าเป็นการจำเป็นด้วยนั้นผลของคดีจึงเกินคำขอและทำให้ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลยเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีเหตุที่มีทางผ่านนั้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1349วรรคท้ายด้วยจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 8273 โจทก์ที่ 1 ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 18516 ของนางละมูล เฮงจำรัส แล้วเข้าครอบครองทำประโยชน์มาประมาณ 20 ปี ที่ดินโฉนดเลขที่ 18517 เดิมเป็นกรมสิทธิ์ของนางมวล เฮงจำรัส เมื่อนางนวลตาย ที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นบุตร โจทก์ที่ 2และที่ 3 เข้าปลูกบ้านครอบครองต่อมานานประมาณ 4 ปีแล้ว แต่ยังไม่ได้แก้ชื่อทางทะเบียน ที่ดินบางส่วนของโฉนดเลขที่ 8271 เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ที่ 1 ต่อมาโจทก์ที่ 1 จดทะเบียนขายให้โจทก์ที่ 4 แล้วโจทก์ที่ 4 เข้าปลูกบ้านครอบครองต่อมานานประมาณ 8 ปี แล้วที่ดินบางส่วนของโฉนดเลขที่ 8271 เดิมที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของนางมวล นางมวล ตายที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ที่ 5ซึ่งเป็นบุตร โจทก์ที่ 5 เข้าปลูกบ้านครอบครอง ต่อมานานประมาณ4 ปี แล้วแต่ยังไม่ได้แก้ชื่อทางทะเบียน ที่ดินบางส่วนของโฉนดเลขที่8271 เดิมเป็นกรรมสิทธิ์ของนางริ้ว ทิมพิทักษ์ นางริ้ว ตายที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ที่ 6 ซึ่งเป็นสามี โจทก์ที่ 6เข้าครอบครองปลูกบ้านต่อมานานประมาณ 6 ปี แล้ว และบางส่วนเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ที่ 7 ซึ่งเป็นบุตร โจทก์ที่ 7 เข้าครอบครองปลูกบ้านนานประมาณ 6 ปี แล้ว แต่ยังไม่ได้แก้ชื่อทางทะเบียน ที่ดินบางส่วนของโฉนดเลขที่ 8264 เดิมที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของนายอ๋อ ชิ้นงามหรือโดยชิ้นงาม นายอ๋อตาย ที่ดินดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ที่ 8 ซึ่งเป็นบุตร โจทก์ที่ 8 เข้าครอบครองทำประโยชน์มานาน 11 ปีเศษ แล้ว และที่ดินโฉนดเลขที่ 18518 เป็นกรรมสิทธิ์ของนายบุญยงค์ เทพสง่า ซึ่งโจทก์ที่ 9 เช่าที่ดินดังกล่าวปลูกบ้านทำประโยชน์มานานประมาณ 7 ปี แล้ว ที่ดินของโจทก์ทั้งเก้าและจำเลยมีอาณาเขตติดต่อกัน ทางเดินในที่ดินของจำเลยเป็นทางกว้าง 8 ศอก ยาวประมาณ 5 เส้น ใช้เดินกันมาตั้งแต่เจ้าของเดิมเมื่อ 60-70 ปี มาแล้ว เจ้าของเดิมและโจทก์ทั้งเก้าใช้เดินใช้เกวียนบรรทุกข้าวเข้าออก ต่อมาเมื่อประมาณ 18 ปี มานี้ได้ใช้รถยนต์บรรทุกข้าวเข้าออกตามทางเดินดังกล่าวในที่ดินจำเลยนั้นไปสู่ท้องทุ่งนาและสู่ถนนสายพงสวาย-ราชบุรีมาตลอด โดยไม่มีทางอื่นจะไปได้ ครั้นเมื่อเดือนกรกฎาคม 2535 จำเลยเอาเสาปูน 2 ต้นมาปิดกั้นทางเดินดังกล่าวเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งเก้าไม่สามารถเดินและใช้รถยนต์บรรทุกข้าวเข้าออกได้ ขอศาลพิพากษาว่าทางเดินพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายคำฟ้องหมายสีแดงในที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่8273 เป็นภารจำยอมให้จำเลยรื้อถอนเสาปูนที่ปิดกั้นทางเดินและขนย้ายออกจากทางพิพาท หากจำเลยไม่รื้อถอนให้จำเลยออกค่าใช้จ่ายให้โจทก์รื้อถอนเอง เป็นเงิน 100 บาท
จำเลยให้การว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 8273 แต่เดิมเป็นของนางช้อย มณีรัตน์ มารดาจำเลย นางช้อยขุดบ่อในที่ดินด้านทิศใต้ยาวเกือบตลอดทั้งแปลง โดยได้เว้นระยะแนวบ่อให้ห่างจากแนวเขตที่ดินประมาณ 1.50 เมตร เพื่อไม่ให้ดินริมตลิ่งพังลงในบ่อ ที่ดินที่เว้นไว้ก็เพื่อประโยชน์ของที่ดินจำเลยไม่ใช้เว้นไว้เพื่อให้บุคคลอื่นหรือโจทก์ทั้งเก้าใช้ประโยชน์เป็นทางเดินที่ดินโฉนดเลขที่ 18516, 18517, 8271, 8264 และ 18518 อยู่ติดคลองบางป่าด้านทิศใต้ ที่ดินของโจทก์ทั้งเก้าจึงมีทางออกสู่ทางสาธารณะทางคลองบางป่าและริมคลองบางป่ามีสภาพเป็นถนนที่โจทก์ทั้งเก้าสามารถเข้าออกสู่ถนนเรียบคลองชลประทาน โจทก์ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ถึงที่ 9 ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินจึงไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะการฟ้องให้ได้ทรัพย์สิทธิหรือทางจำเป็นก็เพื่อประโยชน์แก่ที่ดินที่ได้ทรัพย์สิทธิหรือที่ดินที่ตกอยู่ในที่ล้อม ไม่ใช่เพื่อประโยชน์แก่ตัวโจทก์ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ถึงที่ 9 เอง ที่ดินของจำเลยไม่เคยเป็นทางหรือให้ใครอาศัยเดิน จำเลยย่อมทรงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 ที่จะดำเนินการอย่างใดในที่ดินของจำเลยไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งเก้าแต่อย่างใดโจทก์ทั้งเก้าไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหาย และโจทก์ทั้งเก้ามิได้นำคดีมาฟ้องภายใน 1 ปี คดีของโจทก์ทั้งเก้าจึงขาดอายุความเรื่องละเมิด ตามคำฟ้องโจทก์ทั้งเก้ามิได้บรรยายว่าโจทก์ทั้งเก้าได้ทรัพย์สิทธิมาอย่างใดหรือที่ดินของโจทก์ทั้งเก้าตกอยู่ในที่ล้อมอันจำเป็นต้องใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็น โจทก์ทั้งเก้าบรรยายฟ้องว่าคนอื่นรวมทั้งเก้าใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางมา 60-70 ปีก็เป็นเพียงแต่แสดงข้อเท็จจริงว่าโจทก์ทั้งเก้าใช้ที่ดินนี้มานานเท่านั้น ย่อมไม่ได้หมายความว่าประสงค์จะให้จำเลยเปิดทางในฐานะอะไรตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งเก้าไม่ปรากฎว่าโจทก์ทั้งเก้าได้ทรัพย์สิทธิในที่ดินของจำเลยมาอย่างใดหรือโจทก์ทั้งเก้าต้องใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็นอย่างใด ก็ต้องถือว่าโจทก์ทั้งเก้ามิได้ทรงทรัพย์สิทธิหรือต้องใช้ที่ดินของจำเลยเป็นทางจำเป็นอย่างใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ทางพิพาทกว้าง 4 เมตร ยาวตลอดตามที่ปรากฎในแผนที่พิพาทตามรูปเส้นสีแดงและตามภาพถ่ายหมาย จ.7 ถึง จ.9เป็นทางจำเป็นที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 8 มีสิทธิที่จะใช้รถยนต์ฝ่ายเข้าออกได้ และคำขออื่นให้ยกเสีย
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ทั้งเก้าเสนอข้อหาของตนโดยทำคำฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยว่า ทางเดินพิพาทตามแผนที่สังเขปท้ายคำฟ้องหมายสีแดงในที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 8273 ตำบลพงสวายอำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เป็นทางภารจำยอม และให้จำเลยรื้อถอนเสาปูนที่ปักปิดกั้นทางเดินและขนย้ายออกจากทางเดินนั้น คำขอบังคับดังกล่าวเห็นได้โดยแจ้งชัดว่าเป็นคำขอบังคับเพื่อให้ศาลชี้ขาดคดีของโจทก์ทั้งเก้าว่า โจทก์ทั้งเก้าต้องการให้จำเลยปฏิบัติต่อตนหรือละเว้นปฏิบัติอย่างไร ซึ่งจำเลยได้แสดงโดยชัดแจ้งในคำให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งเก้าทั้งสิ้นรวมทั้งเหตุแห่งการปฏิเสธโดยจำเลยไม่อาจที่จะใช้สิทธิฟ้องแย้งให้ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินได้เพราะโจทก์ทั้งเก้าไม่ได้ขอให้ศาลบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 คดีนี้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าแม้โจทก์ทั้งเก้าจะเดินผ่านทางพิพาทนานเพียงใดก็หาทำให้ได้สิทธิภารจำยอมในทางพิพาท แล้วศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยต่อไปว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น จำเลยอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า สภาพแห่งข้อหาไม่ได้ขอบังคับให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ขอให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยตอนหนึ่งว่าคำฟ้องได้บรรยายไว้แล้วว่า ที่ดินอยู่ในวงล้อมไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้แล้วพิพากษาว่า ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น จำเลยฎีกาข้อกฎหมายว่า ในเรื่องทางจำเป็น คำฟ้องต้องแสดงโดยแจ้งชัดว่าที่ดินของโจทก์ทั้งเก้ามีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ และโจทก์ทั้งเก้าต้องขอมาในคำขอท้ายฟ้องศาลจึงจะพิจารณาพิพากษาให้ตามขอได้ ในคดีนี้ตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้อง โจทก์ทั้งเก้าเพียงแต่ฟ้องคดีและประสงค์ตามคำขอท้ายฟ้องที่จะให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินส่วนที่พิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางภารจำยอม โจทก์ทั้งเก้ามิได้บรรยายหรือประสงค์ที่จะขอให้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็น ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นทางจำเป็นจำเป็นการพิจารณาพิพากษาเกินกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้อง ฎีกาจำเลยดังกล่าวศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่ชี้ขาดคดีต้องตัดสินตามข้อหาในคำฟ้องทุกข้อแต่ห้ามมิให้พิพากษาหรือทำคำสั่งให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฎในคำฟ้องตามบทมาตราดังกล่าวเมื่อได้พิจารณาในประเด็นแห่งคดีของโจทก์ทั้งเก้าที่ต้องการให้ศาลตัดสินตามข้อเท็จจริงในคำฟ้องที่บรรยายไว้เป็นข้ออ้างแล้วโจทก์ทั้งเก้าต้องการให้ศาลวินิจฉัยเรื่องภารจำยอมเป็นประเด็นข้อพิพาทเท่านั้น ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1387 ได้บัญญัติเรื่องภารจำยอมไว้ว่า อสังหาริมทรัพย์อาจต้องตกอยู่ในภารจำยอมอันเป็นเหตุให้เจ้าของต้องยอมรับกรรมบางอย่างซึ่งกระทบถึงทรัพย์สินของตนหรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่างอันมีอยู่ในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินนั้น เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยเรื่องทางจำเป็นให้โจทก์ทั้งเก้านั้นในคำฟ้องของโจทก์ทั้งเก้ามิได้บรรยายเรื่องทางจำเป็นตามมาตรา1349 ที่ว่าที่ดินโจทก์ทั้งเก้ามีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ แต่บรรยายมีแต่เรื่องที่ดินมีอาณาเขตติดต่อกันแล้วใช้ทางเดินในที่ดินจำเลยที่ใช้เดินมาตั้งแต่เจ้าของเดิมเมื่อ 60 – 70 ปี มา แล้วจำเลยเอาเสาปูน 2 ต้นมาปักปิดกั้นทางเดินโดยเจตนากลั่นแกล้งปิดกั้นทางเดินซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า ข้ออ้างตามคำฟ้องเป็นข้ออ้างเพื่อการได้มาซึ่งภารจำยอมอันเป็นเหตุให้จำเลยต้องยอมรับกรรมบางอย่าง การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่าเป็นทางจำเป็นด้วยนั้น ผลของคดีจึงเกินคำขอและทำให้ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่จำเลยเพื่อความเสียหายอันเกิดแก่เหตุที่มีทางผ่านนั้นตามมาตรา 1349วรรคท้าย ด้วย ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นตามมาตรา 1349จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอ
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง