คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1904/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จำเลยต่อสู้เพียงว่ามิได้เป็นคนร้ายลักทรัพย์ต่อมาในฎีกา จำเลยฎีกาว่า ทรัพย์อยู่ในความครอบครองของจำเลย ถ้าจะมีความผิดก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 แต่ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 334 ถือได้ว่าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาต่างกับคำฟ้อง ชอบที่จะยกฟ้อง ดังนี้ ข้อเท็จจริงที่ว่าทรัพย์อยู่ในความครอบครองของจำเลยนั้นไม่ได้ยกขึ้นว่าในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้างอิงจึงไม่เกิดขึ้น ฎีกาของจำเลยจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 ประกอบด้วยมาตรา 225 (อ้างฎีกาที่ 1478/2497)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ลักประตูเหล็ก ๑ บานของนายไพบูลย์ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยไปโดยทุจริต จำเลยที่๒ รับซื้อประตูเหล็กนั้นไว้โดยรู้อยู่ว่าเป็นของที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑๑), ๓๕๗ และสั่งคืนประตูเหล็กของกลางให้ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ จำคุก ๑ ปี ยกฟ้องจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์ว่า มิได้ขายประตูเหล็กให้จำเลยที่ ๒
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่า ประตูเหล็กของกลางอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ ถ้าจะมีความผิดก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒ แต่ไม่เป็นความผิดตามมาตรา ๓๓๔ ถือได้ว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏในสำนวนแตกต่างกับคำฟ้อง ชอบที่จะยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในศาลชั้นต้นจำเลยที่ ๑ ต่อสู้แต่เฉพาะข้อเท็จจริงที่ว่ามิได้เป็นคนร้ายลักประตูเหล็กของกลางเท่านั้น ส่วนข้อที่ว่าประตูเหล็กของกลางอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ หาได้ยกขึ้นว่าในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ไม่ ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่ปรากฏในสำนวน ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยที่ ๑ ยกขึ้นอ้างอิงจึงไม่เกิดขึ้น จะรับฎีกาของจำเลยที่ ๑ ไว้พิจารณามิได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕ ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๕
พิพากษายกฎีกาของจำเลยที่ ๑

Share