แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หลักเกณฑ์การประกันภัยสากลในเรื่องรับประกันชีวิตบุคคลผู้มีอายุเกิน 40 ปีนั้น เป็นวิธีปฏิบัติในการดำเนินธุรกิจเพื่อความมั่นคงของบริษัทรับประกันภัยหาใช่เกณฑ์คำนวณค่าสินไหมทดแทน ความเสียหายอันแท้จริง อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งมีอายุ 53 ปี ไม่ควรได้รับค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุเสื่อมเสียความสามารถในการประกอบการงานเป็นเวลา 10 ปี เนื่องจากการทำละเมิดของลูกจ้างของจำเลยไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์โดยสารรถประจำทางของจำเลยซึ่งมีนายสายอน จักระนอง ลูกจ้างเป็นคนขับในทางการที่จ้างของจำเลย นายสายอน ขับรถด้วยความเร็วสูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด รถส่ายหน้าหวาดเสียวและแฉลบพลิกคว่ำ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายแพทย์ต้องตัดขาทั้งสองข้าง ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ ทำให้ขาดรายได้อย่างต่ำเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท นายสายอน หลบหนี จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างต้องรับผิดร่วมด้วย ขอให้บังคับจำเลยชำระค่าสินไหมทดแทนให้จำเลยเป็นเวลา ๑๐ ปี เป็นเงิน ๑๒๐,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า เหตุเกิดจากความประมาทอย่างร้ายแรงของโจทก์เอง และเกิดจากเหตุสุดวิสัย เพราะรถวิ่งด้วยความเร็วปกติ ระบบห้ามล้อชำรุดอย่างกระทันหันคนขับไม่สามารถบังคับรถให้หยุดได้ ต้องอาศัยขอบวงเวียนเพื่อบังคับให้รถหยุด เป็นเหตุให้รถพลิกตะแคง จำเลยไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายสูงเกินควร ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่ากรณีไม่ใช่เหตุสุดวิสัย โจทก์ไม่มีส่วนประมาทค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องพอสมควร พิพากษาให้จำเลยชำระค่าสินไหมทดแทน ๑๒๐,๐๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เหตุเกิดเพราะนายสายอนขับรถประมาท จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างต้องร่วมรับผิดด้วย โจทก์อายุ ๕๓ ปีมิได้มีส่วนประมาทด้วย ค่าสินไหมทดแทนตามฟ้องจำนวนพอสมควร ส่วนที่จำเลยอ้างหลักเกณฑ์การประกันภัยสากลในเรื่องรับประกันชีวิตบุคคลผู้มีอายุเกิน ๔๐ ปี เพื่อแสดงว่าโจทก์ไม่ควรเรียกเงินได้ถึง ๑๐ ปีนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าหลักเกณฑ์ดังกล่าวเป็นวิธีปฏิบัติในการดำเนินธุรกิจเพื่อความมั่นคงของบริษัทรับประกันภัย หาใช่เกณฑ์คำนวณค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันแท้จริงไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน