แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อที่ดินเป็นสินสมรส ตึกแถวซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินจึงตกเป็นสินสมรสด้วย
ข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1466 วรรคท้ายใช้เฉพาะกรณีที่โต้เถียงกันว่าทรัพย์นั้นเป็นสินเดิม สินส่วนตัว หรือสินสมรสเท่านั้น จะนำมาใช้ในกรณีที่มีข้อโต้เถียงว่าเป็นทรัพย์ของบุคคลอื่นไม่ได้
โจทก์มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนด เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าถือกรรมสิทธิ์แทนผู้อื่น จึงเป็นหน้าที่โจทก์ที่จะต้องนำสืบก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของขุนนราจีนรณก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ จำเลยเป็นบุตรขุนนราจีนรณและโจทก์ที่ ๑ ขณะสมรสกับขุนนราจีนรณ โจทก์ทั้งสองต่างมีสินเดิมมาด้วย แต่ได้ขายใช้จ่ายหมดไประหว่างเป็นสามีภรรยากัน เกิดสินสมรสคือที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๖๖, ๕๓๐๓ และ ๕๓๐๔ ซึ่งลงชื่อจำเลยในโฉนดทั้งสามฉบับเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แทนกับตึกแถว ๔ ห้องบนที่ดินดังกล่าว โดยจำเลยรับเงินจากขุนนราจีนรณไป ๕๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อก่อสร้าง ต่อมาขุนนราจีนรณถึงแก่กรรม โจท์ทั้งสองมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในสินสมรสดังกล่าวหนึ่งในสาม จำเลยอ้างว่าขุนนราจีนรณทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้จำเลยคนเดียว ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะขณะนั้นขุนนราจีนรณป่วยหนักจนไม่มีสติสัมปชัญญะจะทำพินัยกรรมได้ อย่างไรก็ตามขุนนราจีนรณไม่มีอำนาจทำพินัยกรรมยกสินสมรสส่วนของโจทก์ทั้งสองให้จำเลยได้ ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพร้อมตึกแถวตามฟ้องเป็นสินสมรสและนำออกขายทอดตลาดแบ่งเงินให้โจทก์ทั้งสองหนึ่งในสามถ้าไม่สามารถกระทำได้ ให้จำเลยชำระเงินแทนพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งโจทก์ที่ ๒ ว่า ที่ดินทั้งสามแปลงตามฟ้องเป็นของจำเลยซื้อมาด้วยเงินของจำเลยทั้งสิ้น และจำเลยได้ครอบครองด้วยความสงบ เปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินสิบปีแล้ว คดีโจทก์จึงขาดอายุความ จำเลยเป็นผู้ปลูกสร้างตึกแถว ๘ ห้องด้วยเงินของจำเลยเอง แต่เวลาปลูกสร้างขุนนราจีนรณได้ให้เงินแก่จำเลยโดยเสน่หาตามหน้าที่ศีลธรรมอันดี จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาทเศษ เพื่อนำมาปลูกสร้างตึกแถวนั้น เมื่อขุนนราจีนรณมีชีวิตอยู่ ขุนนราจีนรณกับโจทก์ที่ ๒ ได้ซื้อที่ดินและปลูกสร้างบ้านเลขที่ ๒๘๓ ขึ้นที่หมู่บ้านเศรษฐกิจ ขณะนี้มีราคา ๑๕๐,๐๐๐ บาท อันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ ๒ กับขุนนราจีนรณ และตกเป็นมรดกของขุนราจีนรณสองในสามส่วน ถ้าไม่สามารถแบ่งได้ก็ให้ขายทอดตลาดแบ่งเงินให้จำเลยตามส่วน
โจทก์ที่ ๒ ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินและบ้านเลขที่ ๒๘๓ ไม่ใช่สินสมรส ความจริงเป็นของนางสมนึก มีนะโตรี บุตรโจทก์ที่ ๒ กับขุนนราจีนรณ แต่นางสมนึก มีนะโตรี ให้ลงชื่อโจทก์ที่ ๒ แทนไว้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่ดินทั้ง ๓ แปลง และตึกแถว ๘ ห้องเป็นของจำเลย ไม่ใช่สินสมรสระหว่างโจทก์ทั้งสองกับขุนนราจีนรณ ทรัพย์สินตามฟ้องแย้งก็ฟังไม่ได้ว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ ๒ กับขุนนราจีนรณ พิพากษายกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งจำเลย
โจทก์ทั้งสองและจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๖๖, ๕๓๐๓ และ ๕๓๐๔ พร้อมด้วยตึกแถวที่ปลูกอยู่บนที่ดินให้โจทก์ทั้งสองหนึ่งในสามส่วน ถ้าแบ่งไม่ได้ให้นำที่ดินและตึกแถวดังกล่าวออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งให้โจทก์ทั้งสองตามส่วนให้แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๔๕๒ ให้จำเลยสองในสามส่วนตามพินัยกรรม ถ้าแบ่งไม่ได้ให้นำที่ดินออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งให้จำเลยตามส่วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
โจทก์ทั้งสองฎีกาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๔๕๒ ตามฟ้องแย้งไม่ใช่สินสมรส จำเลยฎีกาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๖๖, ๕๓๐๓ และ ๕๓๐๔ เป็นของจำเลย จำเลยครอบครองมาด้วยความสงบโดยเปิดเผยด้วยเจตนาของเกินสิบปีแล้ว ฟ้องโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับที่ดินตามโฉนดดังกล่าวเคลือบคลุม และศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ทั้งสองได้รับส่วนแบ่งในสินสมรสโดยมิได้ระบุว่ามีส่วนได้คนละเท่าไร เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายลักษณะผัวเมีย
ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ที่ ๑ ได้มรณะ ศาลฎีกาอนุญาตให้นายตั้งหยี่ แซ่ตั้ง เข้าเป็นคู่ความแทน
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๓๖๖, ๕๓๐๓ และ ๕๓๐๔ ขุนนราจีนรณเป็นผู้ซื้อ แต่ให้ลงชื่อจำเลยซึ่งเป็นบุตรแทนในโฉนด ส่วนตึกแถวเป็นส่วนควบของที่ดิน จึงตกเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๗ วรรคสอง เมื่อเป็นเรื่องที่จำเลยครอบครองแทนจึงไม่อาจอ้างการครอบครองปรปักษ์ยันโจทก์ทั้งสองได้ ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ทั้งสองเกี่ยวกับสินสมรสเคลือบคลุมนั้น จำเลยมิได้ยกปัญหานี้ขึ้นโต้แย้งในชั้นอุทธรณ์ และไม่เข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕, ๒๔๗ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนปัญหาที่จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแบ่งสินสมรสให้โจทก์หนึ่งในสาม โดยมิได้ระบุว่ามีส่วนได้คนละเท่าไรเป็นการไม่ชอบนั้น ก็เป็นเรื่องระหว่างโจทก์ทั้งสองไม่เกี่ยวกับจำเลย ที่โจทก์ที่ ๒ ฎีกาว่าที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๔๕๒ เป็นของนางสมนึก มีนะโตรี หรือเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์ที่ ๒ กับขุนนราจีนรณตามโฉนดที่ดินดังกล่าวมีชื่อโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เกี่ยวกับหน้าที่นำสืบที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๖๖ วรรคท้ายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรสเป็นหน้าที่โจทก์ที่ ๒ ที่จะนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อสันนิษฐานดังกล่าวใช้เฉพาะกรณีที่โต้เถียงกันว่าทรัพย์นั้นเป็นสินเดิม สินส่วนตัว หรือสินสมรสเท่านั้น จะนำมาใช้ในกรณีที่มีข้อโต้เถียงว่าเป็นทรัพย์ของบุคคลอื่นอย่างเช่นคดีนี้ไม่ได้ แต่เมื่อโจทก์ที่ ๒ มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดและกล่าวอ้างว่าถือกรรมสิทธิ์แทนนางสมนึก มีนะโตรี จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่ ๒ ที่จะต้องนำสืบก่อน แต่พยานโจทก์ไม่มีน้ำหนักพอจะให้เชื่อว่าที่ดินแปลงดังกล่าวเป็นของนางสมนึก มีนะโตรี เมื่อโจทก์ที่ ๒ ได้ที่ดินนี้มาระหว่างเป็นสามีภรรยากับขุนนราจีนรณ จึงเป็นสินสมรสซึ่งขุนนราจีนรณมีส่วนได้สองในสามส่วน และตกเป็นของจำเลยตามพินัยกรรม ส่วนที่โจทก์ที่ ๑ ฎีกาเกี่ยวกับที่ดินตามฟ้องแย้งของจำเลยร่วมกับโจทก์ที่ ๒ มาด้วยกัน เห็นว่าจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งโจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๑ จึงไม่มีสิทธิฎีกา
พิพากษายืน ฎีกาโจทก์ที่ ๑ ให้ยกเสีย