คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 190/2463

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ย่อยาว

คดีนี้โจทย์ฟ้องกล่าวโทษจำเลยว่าเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๖๑ เวลากลางคืนก่อนเที่ยง โจทย์ไปซื้อน้ำมันมะพร้าวที่โรงยาฝิ่น จำเลยถือมีดดามทรงเข้ามาฟันโจทย์ถูกที่ท้ายทอยข้างขวาตลอดต้นคอมีบาดแผลสาหัส โดยความอาฆาฎโกรธแค้นว่าโจทย์ไม่ยอมเข้าอั้งญี่เปนพวกจำเลย จึงขอให้ลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณอาญามาตรา ๒๔๕ – ๒๕๖ กับส่วนที่ ๕ หมวดที่ ๒ แลเรียกค่าเสียหายอีก ๑๐๐ บาทด้วย ฯ
จำเลยให้การปฏิเสธอ้างฐานที่อยู่ ฯ
ศาลจังหวัดสุพรรณบุรีพิจารณาแล้วเห็นว่า พยานโจทย์เบิกความเปนที่สงสัยหลายประการ คือ ข้อที่โจทย์เบิกความว่าจำคนร้ายที่ฟันโจทย์ได้ว่าเปนจำเลยนั้น เห็นว่าเมื่อผู้ร้ายลอบเข้ามาทางข้างหลังฟันโจทย์ถูกที่ท้ายทอยเปนบาดแผลใหญ่จนโจทย์ล้มลงไป แลทั้งผู้ร้ายก็รีบหนีไปโดยรวดเร็วเช่นนี้ โจทย์จะจำคนที่ทำร้ายได้แน่นอนนั้นไม่สมเหตุ ทั้งนายทิม นายปุยพยาน ๒ ปากนั้นชั้นไต่สวนโจทย์ก็มิได้อ้าง จนคดีของโจทย์ในชั้นไต่สวนไม่มีมูล เจ้าพนักงานไม่ฟ้องร้องปล่อยตัวจำเลยไปแล้ว จึงมาเกิดมีพยาน ๒ ปากขึ้นในชั้นศาลนี้ น่าสงสัยว่าจะเปนพยานที่มาสรวมรอยขึ้นภายหลัง เมื่อฟังพยาน ๒ ปากนี้ไม่ได้แล้วจำเลยก็ยังไม่มีผิด จึงพิพากษายกฟ้องโจทย์ปล่อยตัวจำเลยไป ฯ
โจทย์อุทธรณ ศาลอุทธรณข้าหลวงพิเศษพิพากษายืนตามศาลจังหวัด ให้ยกอุทธรณโจทย์ ฯ
โจทย์ทูลเกล้า ฯ ถวายฎีกา มีหลวงพรหมปัญญากับหลวงพจนาดถ์วินิจฉัยเนติบัณฑิตรับรองมา ฯ
กรรมการศาลฎีกาได้ประชุมปฤกษาคดีนี้ เมื่อได้ตรวจดูถ้อยคำโจทย์ที่เบิกความต่อศาลแลในชั้นไต่สวนแล้วเห็นว่า ถ้อนคำที่เบิกความนั้นผิดตรงกันข้ามไม่น่าฟัง ถึงถ้อนคำนายทิม นายปุยพยานโจทย์อีก ๒ ปากที่เบิกความว่าเห็นคนร้ายวิ่งสวนทางไป จำได้โดยอาศรัยแสงไฟในห้องแถวที่ส่องลอดออกมาตามช่องฝากระดานห้องแถวเห็นว่าแสงไฟเล็กน้อยเช่นนั้นยากที่พยานจะจำหน้าคนที่วิ่งสวนไปนั้นให้ได้ถนัดได้ ทั้งในเวลานั้นเดือนก็มืด เมื่อเปนดังนี้จะฟังว่าจำเลยได้ลอบกระทำร้ายโจทย์ยังมิได้ดังความเห็นของศาลล่าง ให้ยกฎีกาโจทย์เสีย ให้บังคับคดีไปตามคำตัดสินศาลล่าง ฯ
วันที่ ๑๒ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๓

Share