คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1887/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ก่อนที่จำเลยจะจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาท แต่โจทก์ยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์จะขอบังคับให้จำเลยไถ่จำนองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนอย่างหนึ่งไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสอง ประกอบมาตรา 1301
ธนาคารผู้รับจำนองเป็นบุคคลนอกคดี เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องเป็นจำเลยด้วย ศาลก็ไม่อาจพิพากษาถึงธนาคารให้ยินยอมให้จดทะเบียนไถ่จำนองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคสอง
ทุนทรัพย์ตามฟ้องเดิมในศาลชั้นต้น 80,000 บาท ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความให้จำเลยใช้แทนโจทก์เป็นเงิน 5,000 บาท เกินกว่าอัตราค่าทนายความขั้นสูงในศาลชั้นต้นตามตาราง 6 ท้าย ป.วิ.พ. และศาลอุทธรณ์ภาค 6 มิได้แก้ไข ศาลฎีกาจึงแก้ไขให้ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิที่ดินโฉนดตราจองที่ ๔๐๗๓ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ๒๘ ๕/๑๐ ตารางวา โจทก์ครอบครองที่ดินดังกล่าวทางด้านทิศตะวันออก เนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ โดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า ๑๐ ปีแล้ว แต่จำเลยกลับนำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองไว้กับธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ขอให้พิพากษาว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดตราจองที่ ๔๐๗๓ เนื้อที่ประมาณ ๑ ไร่ โดยการครอบครอง ให้จำเลยชำระหนี้และจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินดังกล่าวจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หากไม่ชำระหนี้และไม่ไถ่ถอนจำนองให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองโดยถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การ ฟ้องแย้งและแก้ไขคำฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดตราจองที่ ๔๐๗๓ และครอบครองมาถึงปัจจุบัน โจทก์ครอบครองที่ดินบางส่วน โดยไม่มีเจตนาเป็นเจ้าของ แต่อาศัยที่ดินดังกล่าวปลูกบ้านเท่านั้น โจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดิน การกระทำของโจทก์เป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินของจำเลย ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์รื้อถอนบ้านเลขที่ ๑ หมู่ที่ ๖ ตำบลท่าโพธิ์ อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก ออกไปจากที่ดินของจำเลยโดยค่าใช้จ่ายของโจทก์เองกับให้โจทก์ชำระค่าเสียหายปีละ ๑๐,๐๐๐ บาท แก่จำเลยนับแต่วันฟ้องแย้งจนกว่าจะรื้อถอนบ้านออกจากที่ดิน
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่ดินโฉนดตราจองที่ ๔๐๗๓ เนื้อที่ ๑ ไร่ ๘ ๒/๑๐ ตารางวา ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๘๒ ให้จำเลยไปจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินส่วนดังกล่าวให้ปลอดภาระจำนอง หากไม่ไปให้โจทก์ไถ่ถอนจำนองแทนได้โดยถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยชดใช้ค่าไถ่ถอนจำนองและค่าธรรมเนียมในการดังกล่าวแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระให้โจทก์บังคับคดีต่อทรัพย์สินของจำเลยได้ ยกฟ้องแย้งจำเลย กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาท ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอท้ายคำฟ้องที่เกี่ยวกับการชำระหนี้และการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดิน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ ๑,๐๐๐ บาท แทนโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจะบังคับจำเลยจดทะเบียนไถ่จำนองได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ก่อนที่จำเลยจะจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาท แต่โจทก์ยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โจทก์จะขอบังคับให้จำเลยจดทะเบียนไถ่จำนองที่ดินพิพาทซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนอย่างหนึ่งไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๑๓๐๑ อีกทั้งธนาคารผู้รับจำนองเป็นบุคคลนอกคดี เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องเป็นจำเลยด้วย ศาลก็ไม่อาจพิพากษาถึงธนาคารให้ยินยอมให้จดทะเบียนไถ่จำนองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๕ วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๖ พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ทุนทรัพย์ตามฟ้องเดิมในศาลชั้นต้น ๘๐,๐๐๐ บาท ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความให้จำเลยใช้แทนโจทก์เป็นเงิน ๕,๐๐๐ บาท เกินกว่าอัตราค่าทนายความขั้นสูงในศาลชั้นต้นตามตาราง ๖ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และศาลอุทธรณ์ภาค ๖ มิได้แก้ไข ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายืน แต่ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นแทนโจทก์เพียง ๒,๐๐๐ บาท จำเลยไม่ได้แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.

Share