คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3901/2547

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2542 ครบกำหนดระยะเวลาที่โจทก์ร่วมจะยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 1 เดือน ตรงกับวันที่ 1 ธันวาคม 2542 ในวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เพื่อไปดำเนินการขอให้อัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์โดยให้ยื่นอุทธรณ์ได้ภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2542 โจทก์ร่วมได้ยื่นอุทธรณ์ซึ่งอัยการสูงสุดได้ลงลายมือชื่อรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2542 อันเป็นระยะเวลาภายในกำหนดที่ขอขยาย การที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยว่า เหตุการณ์ตามคำร้องของโจทก์ร่วมมีพฤติการณ์พิเศษที่จะอนุญาตให้ขยายระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์ได้ และได้อนุญาตให้ขยายระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์ออกไปตามคำร้องของโจทก์ร่วม เป็นการปฏิบัติไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ให้อำนาจศาลชั้นต้นในการดำเนินการอนุญาตเช่นนั้นได้ เมื่อไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นในปัญหาดังกล่าว ประเด็นปัญหาดังกล่าวจึงต้องยุติไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น ทั้งปัญหาดังกล่าวนั้นไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงไม่มีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยโดยลำพังได้อีก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมจึงเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา ๓๙๐ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๓ (๔), ๑๕๗
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสุทินผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษา ยกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ โดยอัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วม
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในคดีนี้รับฟังเป็นยุติว่า ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ ครบกำหนดระยะเวลาที่โจทก์ร่วมจะยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน ๑ เดือน ตรงกับวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๒ ต่อมาในวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๒ โจทก์ร่วมได้ยื่นอุทธรณ์ฉบับแรก แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์เพราะเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และในวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๔๒ โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์โดยอ้างเหตุว่า กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการขอให้อัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ โดยให้ยื่นอุทธรณ์ได้ภายในวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ และเมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๔๒ โจทก์ร่วมได้ยื่นคำร้องขอให้อัยการสูงสุดรับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งรองอัยการสูงสุดรักษาราชการแทนอัยการสูงสุดได้รับรองให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๔๒ โจทก์ร่วมได้ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๒ อันเป็นระยะเวลาภายในกำหนดที่ขอขยาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วม ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วม เนื่องจากไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่จะสั่งให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมจึงเป็นอุทธรณ์ที่ยื่นเกินกำหนด โจทก์ร่วมย่อมไม่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้นั้น เห็นว่า คำร้องขอขยายระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมดังกล่าวนั้น เป็นคำร้องขอขยายระยะเวลาในกรณีที่มีพฤติการณ์พิเศษ ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้วินิจฉัยว่าเหตุการณ์ตามคำร้องของโจทก์ร่วมมีพฤติการณ์พิเศษที่จะอนุญาตให้ขยายระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์ได้ และได้อนุญาตให้ขยายระยะเวลาในการยื่นอุทธรณ์ออกไปตามคำร้องของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นการปฏิบัติไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ให้อำนาจศาลชั้นต้นในการดำเนินการอนุญาตเช่นนั้นได้ เมื่อไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นในปัญหาดังกล่าว ประเด็นปัญหาดังกล่าวจึงต้องยุติไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น ทั้งปัญหาดังกล่าวนั้นไม่ใช่ปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จึงไม่มีอำนาจที่จะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยโดยลำพังได้ ดังนั้น อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมจึงเป็นอุทธรณ์ที่ยื่นภายในกำหนดระยะเวลา ชอบที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จะต้องรับไว้วินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมมานั้นจึงไม่ชอบ ฎีกาโจทก์ร่วมฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ แล้วย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ ดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ต่อไป.

Share