คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 643/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าโรงเรือนและรั้วสังกะสีซึ่งผู้เช่าปลูกขึ้นเป็นของโจทก์ ซึ่งตามสัญญาเช่าที่ดิน มีความว่า “บรรดารั้ว และโรงเรือนต่าง ๆ ที่ผู้เช่าได้ปลูกสร้างลงในที่ดินของผู้ให้เช่า เมื่อจะครบกำหนดสัญญา 15 ปีแล้ว ผู้ให้เช่าไม่มีความประสงค์จะให้ผู้เช่ากระทำการต่อไปแล้ว ผู้ให้เช่าจะแจ้งให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้าก่อนกำหนด 15 ปี เป็นเวลา 6 เดือน เมื่อครบ 15 ปีแล้ว ผู้เช่าต้องรื้อถอนขนเอาไปให้หมดสิ้น ภายในเวลา 3 เดือน ถ้าพ้น 3 เดือนไปแล้ว จะต้องตกเป็นของผู้ให้เช่า ผู้เช่าจะรื้อถอนขนเอาไปไม่ได้เป็นอันขาด” สัญญาข้อนี้หมายความว่า ถ้าผู้ให้เช่าประสงค์จะไม่ให้อยู่ เมื่อครบ 15 ปี ผู้ให้เช่าต้องบอกล่วงหน้า 6 เดือน และผู้เช่าต้องรื้อสิ่งปลูกสร้างไปภายใน 3 เดือน (แต่วันครบกำหนดตามสัญญาเช่า) มิฉะนั้นสิ่งปลูกสร้างตกเป็นของผู้ให้เช่า เมื่อผู้ให้เช่ามิได้ปฏิบัติตามข้อสัญญาดังกล่าวแล้ว และเมื่อก่อนถึงกำหนด 3 เดือน ยังซ้ำให้บุคคลภายนอกเช่าแต่ที่ดินในราคาค่าเช่าเท่ากับสัญญาฉะบับก่อนต่อมาอีก โดยไม่ได้ระบุถึงสิ่งปลูกสร้างเลย ดังนั้น โดยข้อความตามสัญญาก็ดี โดยพฤตติการณ์ที่ปฏิบัติก็ดี โจทก์จะถือว่าสิ่งปลูกสร้างรายนี้ตกเป็นของโจทก์ไม่ได้.

ย่อยาว

ความว่า นายเลี่ยงเฮงได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของโจทก์ เพื่อปลูกสร้างโรงย้อมผ้า มีกำหนด ๑๕ ปี ได้จดทะเบียนการเช่าต่อพนักงาน แล้วนายเลี่ยงเฮงได้ปลูกสร้างเรือนเลขที่ ๓๐๑ และรั้วสังกะสีในที่ดินที่เช่านี้ เช่ามาประมาณ ๘-๙ ปี นายเลี่ยงเฮงตาย นางลิ้มภริยานายเลี่ยงเฮงได้จดทะเบียนรับมฤดกเช่าต่อ การเช่ารายนี้ครบ ๑๕ ปี เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๘๖ หลังจากครบกำหนดสัญญาแล้ว จำเลยได้มาขอเช่าที่ดินแปลงนี้มีกำหนด ๓๖ เดือน สัญญาเช่าลงวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๔๘๖ ครบกำหนดเช่าเมื่อวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๔๘๙ โจทก์จะให้จำเลยมาเช่าที่ดินเสียใหม่ โดยระบุเพิ่มเติมสิ่งที่ปลูกสร้างขึ้นเป็นทรัพย์ที่เช่าด้วย จำเลยไม่ยอม โต้แย้งว่า โรงย้อมผ้าเลขที่ ๓๐๑ และรั้วสังกะสีเป็นกรรมสิทธิของจำเลย โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลแสดงว่า โรงเรือนเลขที่ ๓๐๑ และรั้วสังกะสีเป็นของโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่า จำเลยมีหุ้นส่วนในโรงเรือนนี้ โจทก์ได้ออกใบเสร็จเก็บเงินค่าเช่าจากจำเลย และในที่สุดเมื่อเลิกหุ้นส่วนกันแล้ว ได้แบ่งกันจำเลยเป็นผู้ได้โรงเรือนและรั้วสังกะสี และว่าโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาเช่าข้อ ๕
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โรงเรือนพิพาทและรั้วสังกะสีเป็นกรรมสิทธิของโจทก์กับนายเจิมและนางเจียม ห้ามมิให้จำเลยเกี่ยวข้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา,
ศาลฎีกาเห็นว่าตามสัญญาข้อ ๕ ซึ่งกล่าวว่า “บรรดารั้วและโรงเรือนต่าง ๆ ที่ผู้เช่าได้ปลูกสร้างลงไว้ในที่ดินของผู้ให้เช่า เมื่อจะครบกำหนดสัญญา ๑๕ ปีแล้ว ผู้ให้เช่าไม่มีความประสงค์จะให้ผู้เช่ากระทำการต่อไปแล้ว ผู้ให้เช่าจะได้แจ้งให้ผู้เช่าทราบล่วงหน้าก่อนครบกำหนด ๑๕ ปี เป็นเวลา ๖ เดือน เมื่อครบกำหนด ๑๕ ปีแล้ว ผู้เช่าต้องรื้อถอนขนเอาไปให้หมดสิ้นภายใน ๓ เดือน ถ้าพ้น ๓ เดือนไปแล้วจะต้องตกเป็นของผู้ให้เช่า ผู้เช่าจะรื้อถอนเอาไปไม่ได้เป็นอันขาด” หมายความว่า ถ้าผู้ให้เช่าประสงค์จะไม่ให้ผู้เช่าอยู่เมื่อครบ ๑๕ ปี ผู้ให้เช่าต้องบอกล่วงหน้า ๖ เดือน และผู้เช่าต้องรื้อสิ่งปลูกสร้างไปภายใน ๓ เดือน (แต่วันครบกำหนดสัญญาเช่า” แต่ในคดีนี้ไม่ปรากฎว่าผู้ให้เช่าได้ทำเช่นนั้น และเมื่อก่อนถึงกำหนด ๓ เดือน ยังซ้ำให้จำเลยเช่าแต่ที่ดินในราคาเช่าเท่ากับสัญญาฉะบับก่อนต่อมาอีก โดยไม่ระบุถึงสิ่งปลูกสร้างเลย ฉะนั้นโดยข้อความตามสัญญาก็ดี โดยพฤตติการณ์ที่ปฏิบัติก็ดี โจทก์จะถือว่าสิ่งปลูกสร้างรายนี้ตกเป็นของโจทก์ไม่ได้
พิพากษายืน

Share