แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยต่อสู้ว่า หนี้ค่าสุกรเกิดจากการซื้อขายอันมีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมายจะต้องนำสืบให้ปรากฎว่า โจทก์ได้สมคบในการฝ่าฝืนประกาศของเจ้าพนักงานควบคุม ฯ ด้วย.
คดีแพ่งที่จะถือตามข้อเท็จจริงในคดีอาญานั้น ต้องปรากฎว่าคู่ความในคดีอาญากับในคดีแพ่งเป็นคนเดียวกัน และศาลพิพากษาคดีอาญาโดยอาศัยข้อเท็จจริงดังนั้น
ศาลอาจฟังหลักฐานไม่ตรงกับถ้อยคำคู่ความที่อำเภอบันทึกไว้ได้ ไม่เป็นการสืบแก้ไขเอกสาร เพราะไม่ใช่เรื่องที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง.
ย่อยาว
ได้ความว่า โจทก์ขายสุกรให้จำเลย ชำระราคาบางส่วนแล้ว จำเลยนำสุกรไปถูกจับฐานยักย้ายสุกรออกนอกเขตต์ ซึ่งในคดีอาญาเรื่องนั้น ศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่ค้าง
จำเลยปฎิเสธ และว่ามูลหนี้เกิดจากการทุจจริตโดยโจทก์สมคบด้วยในการยักย้ายสุกร
ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่ายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำเลยชำระค่าสุกรที่ค้าง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ว่าการซื้อขายมีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมายนั้น จำเลยไม่ได้นำสืบว่าโจทก์ได้รู้เห็นสมคบในการฝ่าฝืนประกาศของเจ้าพนักงานควบคุม แต่ปรากฎว่าจำเลยบอกโจทก์ว่ามีใบอนุญาตแล้ว
เรื่องจำเลยจะให้ถือข้อเท็จจริงในคดีอาญาเรื่องก่อนมาพิพากษาในคดีแพ่งนั้น โจทก์ไม่ได้เป็นคู่ความในคดีอาญานั้น และคดีอาญาศาลไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงกับถ้อยคำโจทก์ชั้นอำเภอในเรื่องเงินที่ค้างชำระนั้น ไม่เป็นการนำสืบแก้ไขเอกสาร เพราะไม่ใช่เรื่องที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีเอกสารมาแสดง ตามมาตรา ๙๔ เป็นแต่อำเภอบันทึกถ้อยคำโจทก์ไว้
พิพากษายืน