แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้รายการสั่งซื้อวัสดุเพิ่มเติมที่โจทก์ดำเนินการสั่งซื้อไปตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้มีการทำคำสั่งนั้นเป็นลายลักษณ์อักษรตามทางปฏิบัติ แต่ในรายการสั่งซื้อวัสดุเพิ่มเติมนั้นได้มี บ. วิศวกรคุมงานของจำเลยที่ 2 เป็นผู้ตรวจสอบและลงชื่อกำกับไว้ และมี ส. หัวหน้าคนงานเบิกความเป็นพยานยืนยันการตรวจสอบและลงลายมือชื่อกำกับดังกล่าว เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้นำสืบหักล้างคำเบิกความของ ส. กรณีจึงต้องฟังตามที่ ส. เบิกความ จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นหนี้โจทก์ตามเอกสารรายการสั่งซื้อดังกล่าว
ตามป.พ.พ. มาตรา 602 บัญญัติว่าอันสินจ้างนั้นพึงใช้ให้เมื่อรับมอบการที่ทำ ดังนี้ เมื่อโจทก์ก่อสร้างแล้วเสร็จและส่งมอบงานเรียบร้อยแล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีหน้าที่ต้องชำระหนี้ค่าแรงและค่าวัสดุให้แก่โจทก์ในเวลาที่รับมอบงาน เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ชำระ โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้ โดยมิต้องบอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ชำระหนี้อีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 3,001,892.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 2,971,113 บาท นับแต่วันที่ 20 มีนาคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ จำนวน 1,548,561.42 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 11 พฤษภาคม 2543) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 จะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ
โจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 5,000 บาท
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติในชั้นฎีกา ปี 2541 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่าจ้างโจทก์ก่อสร้างงานบางส่วนของสถานีไฟฟ้าย่อยของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ตกลงราคาค่าแรงและค่าวัสดุรวมเป็นเงิน 9,625,000 บาท โจทก์ก่อสร้างแล้วเสร็จและส่งมอบงานเรียบร้อยแล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ค้างชำระค่าแรงและค่าวัสดุแก่โจทก์เป็นเงิน 93,287.28 บาท และ 38,659.42 บาท ตามลำดับ
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องชำระค่าก่อสร้างเพิ่มเติมตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่เพียงใด เห็นว่า โจทก์มีนายสมชายหัวหน้าคนงานเบิกความประกอบเอกสารหมาย จ.10 ยืนยันว่า งานและวัสดุเพิ่มเติมตามเอกสารดังกล่าวนายบุญลือวิศวกรจำเลยที่ 2 ได้ตรวจสอบแล้วและมีการลงชื่อกำกับไว้ แม้นายสมชายจะเบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่า ในช่องรายการที่นายบุญลือไม่ได้ลงชื่อกำกับไว้หมายความว่าเป็นกรณีที่ไม่มีปัญหาส่วนช่องรายการที่ลงชื่อกำกับไว้หมายถึงกรณีที่จะต้องตรวจสอบรายละเอียดกันอีกครั้งหนึ่ง แต่พยานก็เบิกความต่อไปว่า นายบุญลือให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงหลายครั้งจนครั้งสุดท้ายที่ถือว่าถูกต้องทั้งหมดคือเอกสารหมาย จ.10 คำเบิกความของนายสมชายนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีนายประสิทธิ์ซึ่งเป็นกรรมการเบิกความรับว่ามีการเพิ่มเติมรายการก่อสร้างในระหว่างการก่อสร้างจริง แต่มีเพียงบางส่วนของเอกสารหมาย จ.10 โดยเบิกความโต้แย้งว่าเป็นงานในเนื้องานเดิม 3 รายการ รายการที่ 1 คือเสาเข็ม 100 ต้น รายการที่ 2 คือเอกสารหมาย จ.10 แผ่นสุดท้าย ซึ่ง 2 รายการนี้ตามเอกสารหมาย จ.10 ไม่มีลายมือชื่อของนายบุญลือกำกับไว้ ส่วนรายการที่ 3 คือเอกสารหมาย จ.10 แผ่นที่ 2 ด้านขวาที่มีลายมือชื่อของนายบุญลือกำกับไว้ โดยมิได้นำสืบให้เห็นว่าคำเบิกความของนายสมชายในกรณีที่นายบุญลือได้ลงชื่อและไม่ได้ลงชื่อกำกับไว้ในเอกสารหมาย จ.10 ไม่ถูกต้องอย่างใด จึงต้องฟังว่า 2 รายการแรกที่ไม่มีลายมือชื่อของนายบุญลือกำกับไว้นั้นนายบุญลือได้รับรองว่าถูกต้องแล้ว ส่วนรายการที่ 3 ที่มีลายมือชื่อของนายบุญลือนั้น ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่า เมื่อมีการตรวจสอบรายละเอียดแล้วไม่ถูกต้องอย่างไร อยู่ในเนื้องานเดิมตรงไหน และที่นายสมชายเบิกความว่ามีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงในเรื่องงานเพิ่มเติมหลายครั้งระหว่างพยานกับนายบุญลือ แต่ในที่สุดที่ถือว่าถูกต้องทั้งหมดก็คือเอกสารหมาย จ.10 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็มิได้นำนายบุญลือมาสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น กรณีจึงต้องฟังตามที่นายสมชายเบิกความ ซึ่งต้องฟังว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นหนี้โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.10 ส่วนที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่า งานส่วนที่เพิ่มเติมนี้ ฝ่ายโจทก์และจำเลยได้มีการประชุมร่วมกัน แล้วสรุปเป็นงานเพิ่มตามเอกสารหมาย ล.7 และ ล.8 เป็นเงิน 250,240 บาท ซึ่งตรงกับที่นางอัญชลี เบิกความประกอบเอกสารหมาย ล.6 ว่า จำเลยที่ 1 ได้จ่ายเงินในงานเพิ่มเติมแก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 แล้วเป็นเงิน 260,249 บาท นั้น เอกสารทั้งหมดที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 อ้างในฎีกาเป็นเรื่องเฉพาะระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งโจทก์มิได้รับรู้ด้วย จึงไม่ผูกพันโจทก์ อีกทั้งจำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็มิได้เสนอที่จะใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์มาก่อน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์รับรู้ด้วย ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ชำระเงินส่วนนี้แก่โจทก์ตามเอกสารหมาย จ.10 จึงชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องพิจารณาตามฎีกาของจำเลยที่ 2 และที่ 3 อีกประการหนึ่งคือโจทก์ยังมิได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ชำระหนี้ ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 602 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “อันสินจ้างนั้นพึงใช้ให้เมื่อรับมอบการที่ทำ” ดังนั้น แม้โจทก์จะมิได้นำสืบว่าโจทก์ได้บอกกล่าวทวงถามให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ชำระหนี้ก่อนจะฟ้องคดี แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติตามที่ได้วินิจฉัยมาแล้วว่า โจทก์ก่อสร้างแล้วเสร็จและส่งมอบงานเรียบร้อยแล้ว จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงต้องชำระหนี้เป็นค่าแรงและค่าวัสดุตามข้อตกลงเดิมเป็นเงิน 93,287.28 บาท และ 38,659.42 บาท และชำระหนี้เป็นค่าแรงและค่าวัสดุเพิ่มเติมเป็นเงิน 1,416,615 บาท ให้แก่โจทก์ในเวลาที่รับมอบงาน เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ชำระ โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นลูกหนี้ให้ชำระหนี้ได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวทวงถามก่อน การที่โจทก์มิได้ทวงถามก่อนฟ้องมีผลทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยได้นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป โดยถือว่าการฟ้องคดีเป็นการทวงถามให้ชำระหนี้โดยปริยายและถือว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ผิดนัดนับแต่วันฟ้องเท่านั้น หาได้ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้