คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1870/2549

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 67 จะต้องเป็นกรณีฝ่าฝืนคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างตามมาตรา 40 (1) และคำสั่งห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในส่วนใด ๆ ของอาคารตามมาตรา 40 (2) ส่วนกรณีตามมาตรา 40 (3) เป็นเรื่องที่กฎหมายให้อำนาจเจ้าพนักงานพิจารณาเพื่อที่จะมีคำสั่งตามมาตรา 41 หรือมาตรา 42 ต่อไป ภายหลังจากที่เจ้าพนักงานได้มีคำสั่งระงับการก่อสร้างตามมาตรา 40 (1) ไปแล้ว พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ไม่ได้บัญญัติไว้ว่าหากฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานตามมาตรา 41 ที่ให้ขออนุญาตดัดแปลงอาคารให้ถูกต้องแล้วจะต้องได้รับโทษทางอาญาคงบัญญัติเป็นเงื่อนไขไว้ในมาตรา 42 ว่าถ้าเจ้าของอาคารมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้ขออนุญาตดัดแปลงอาคารให้ถูกต้องตามมาตรา 41 ก็ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งให้เจ้าของอาคารรื้อถอนอาคารนั้น ซึ่งหากเจ้าของอาคารฝ่าฝืนคำสั่งที่ให้รื้อถอนอาคารนี้โดยมิได้รื้อถอนอาคารภายในกำหนดก็จะมีโทษตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 66 ทวิ ดังนั้น ที่ศาลลงโทษจำเลยฐานฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ให้ขออนุญาตดัดแปลงอาคารให้ถูกต้องตามมาตรา 67 ประกอบมาตรา 40 (3) จึงไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายรองรับ เป็นการลงโทษโดยมิชอบ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้กระทำความผิดหลายกรรมแยกออกจากกัน คือ จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของผู้ควบคุมอาคารได้ก่อสร้างดัดแปลงอาคารผิดไปจากแบบที่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 31 วรรคหนึ่ง, 65 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าในอาคารที่ก่อสร้างดัดแปลงเป็นความผิดตามมาตรา 40 (2), 67 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง และฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้รื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างดัดแปลงเป็นความผิดตามมาตรา 42, 66 ทวิ วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ดังนั้น เมื่อความผิดทั้งสามกระทงดังกล่าวเกิดขึ้นต่างวาระกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้รับใบอนุญาตก่อสร้างเลขที่ สท 60/2545 จากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ให้ก่อสร้างอาคารพักอาศัย 2 ชั้น จำนวน 1 ครั้ง ในซอยโรงน้ำแข็ง แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร ได้กระทำความผิดหลายกรรมคือ เมื่อระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม 2545 ถึงวันที่ 27สิงหาคม 2546 เวลากลางวัน ติดต่อกัน จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของผู้ควบคุมงานได้ก่อสร้างอาคารด้านทิศตะวันออก (ด้านหน้า) ผิดไปจากผังบริเวณ 45 เซนติเมตร ย้ายบันไดออกนอกตัวอาคาร ก่อสร้างผนังกั้นห้องผิดไปจากแบบที่ได้รับอนุญาตจากชั้นละ 2 ห้องเป็น 3 ห้อง และก่อสร้างดัดแปลงกันสาดชั้นสองเป็นระเบียงผิดไปจากแบบที่ได้รับอนุญาต เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2546 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจพบการกระทำผิดดังกล่าวตามฟ้องข้างต้น จึงออกคำสั่งห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในทุกส่วนของอาคารที่ก่อสร้างดัดแปลงดังกล่าว ได้ส่งคำสั่งให้จำเลยทราบทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ จำเลยได้รับเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2546 และได้ปิดคำสั่งห้ามใช้หรือเข้าไปในอาคารที่ดัดแปลงเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2546 ต่อมาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2547 เวลากลางวัน จำเลยได้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวโดยอนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้าไปใช้อาคารเป็นที่พักอาศัยจนถึงปัจจุบัน เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2546 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานท้องถิ่นได้มีคำสั่งให้จำเลยยื่นขอรับใบอนุญาตดัดแปลงอาคารภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง จำเลยได้รับเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2546 จำเลยต้องปฏิบัติตามภายในวันที่ 13 ตุลาคม 2546 นับแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2546 ต่อเนื่องมาจนปัจจุบันจำเลยฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ไม่แก้ไขอาคารให้ถูกต้องตามแผนผังบริเวณแบบแปลนและรายการประกอบที่ได้รับอนุญาตและไม่ยื่นขอรับในอนุญาตดัดแปลงอาคารให้ถูกต้อง อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและต่อมาเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2546 เวลากลางวัน เจ้าพนักงานท้องถิ่นได้มีคำสั่งให้จำเลยรื้อถอนอาคารในส่วนที่ได้ดำเนินการก่อสร้างดัดแปลงโดยฝ่าฝืนกฎหมายภายใน 30 วัน นับแต่ได้รับคำสั่ง โดยได้ส่งคำสั่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ จำเลยได้รับเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 และได้ปิดคำสั่งในสถานที่ก่อสร้างเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2546 จำเลยต้องปฏิบัติตามคำสั่งภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2546 แต่นับแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2546 จนถึงปัจจุบัน จำเลยฝ่าฝืนไม่รื้อถอนอาคารในส่วนที่ก่อสร้างดัดแปลงตามคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่น เหตุเกิดที่แขวงยานนาวา เขตสาทร กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 31, 40 (1) (3), 41, 42, 65, 66 ทวิ, 67 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขอให้ศาลปรับจำเลยเป็นรายวันก่อสร้างอาคารผิดจากแบบที่ได้รับอนุญาต นับแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2546 ฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงาน นับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2547 วันที่ 14 ตุลาคม 2546 และวันที่ 16 ธันวาคม 2546 จนกว่าจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 31 วรรคหนึ่ง, 40 (2) (3), 41, 42, 65 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง, 66 ทวิ วรรคหนึ่ง และวรรคสอง, 67 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 เดือน และปรับ 20,000 บาท กับปรับจำเลยอีกวันละ 100 บาท ตั้งแต่วันที่ 27 สิงหาคม 2546 ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 รวม 79 วัน เป็นเงินจำนวน 7,900 บาท ฐานฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในอาคารที่ก่อสร้างดัดแปลงจำคุก 1 เดือน และปรับ 20,000 บาท กับปรับจำเลยอีกวันละ 300 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2547 นับถึงวันฟ้องรวม 303 วัน เป็นเงินจำนวน 90,900 บาท ฐานฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้ขออนุญาตดัดแปลงอาคารให้ถูกต้อง จำคุก 1 เดือน และปรับ 20,000 บาท กับปรับจำเลยอีกวันละ 300 บาท ตั้งแต่วันที่ 14 ตุลาคม 2546 ถึงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2546 รวม 31 วัน เป็นเงินจำนวน 9,300 บาท ฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้รื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างดัดแปลง จำคุก 1 เดือน และปรับ 20,000 บาท กับปรับจำเลยอีกวันละ 300 บาท ตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2546 นับถึงวันฟ้องรวม 350 วัน เป็นเงินจำนวน 105,000 บาท รวมทุกกระทงเป็นจำคุก 4 เดือน และปรับ 80,000 บาท กับปรับรายวันรวม 4 กระทง นับถึงวันฟ้องเป็นค่าปรับ 213,100 บาท รวมเป็นค่าปรับ 293,100 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 เดือน และปรับ 146,550 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 กับให้ปรับจำเลยฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในอาคารที่ก่อสร้างดัดแปลงเป็นรายวันอีกวันละ 150 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในอาคารที่ก่อสร้างดัดแปลง และให้ปรับจำเลยฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้รื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างดัดแปลงเป็นรายวันอีกวันละ 150 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนอาคารในส่วนที่ก่อสร้างดัดแปลงตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับเป็นระยะเวลา 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกินห้าปีหรือปรับหรือทั้งจำทั้งปรับ จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายซึ่งเห็นควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยในความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ให้ขออนุญาตดัดแปลงอาคารให้ถูกต้อง ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 67 ประกอบมาตรา 40 (3) นั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า กรณีที่จะมีความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามที่มาตรา 67 กำหนดโทษไว้ นั้น จะต้องเป็นกรณีฝ่าฝืนคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างตามมาตรา 40 (1) และคำสั่งห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในส่วนใด ๆ ของอาคาร ตามมาตรา 40 (2) ส่วนกรณีตามมาตรา 40 (3) นั้น เป็นเรื่องที่กฎหมายให้อำนาจเจ้าพนักงานพิจารณาเพื่อที่จะมีคำสั่งตามมาตรา 41 หรือมาตรา 42 ต่อไป ภายหลังจากที่เจ้าพนักงานได้มีคำสั่งระงับการก่อสร้างตามมาตรา 40 (1) ไปแล้ว พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 ไม่ได้บัญญัติไว้ในที่ใดว่าหากฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานตามมาตรา 41 ที่ให้ขออนุญาตดัดแปลงอาคารให้ถูกต้องแล้วจะต้องได้รับโทษทางอาญา คงบัญญัติเป็นเงื่อนไขไว้ในมาตรา 42 ว่าถ้าเจ้าของอาคารมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้ขออนุญาตดัดแปลงอาคารให้ถูกต้องตามมาตรา 41 ก็ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจสั่งให้เจ้าของอาคารรื้อถอนอาคารนั้น ซึ่งหากเจ้าของอาคารฝ่าฝืนคำสั่งที่ให้รื้อถอนอาคารนี้โดยมิได้รื้อถอนอาคารภายในกำหนดก็จะมีโทษตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 66 ทวิ ดังนั้น ที่ศาลล่างทั้งสองลงโทษจำเลยฐานฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ให้ขออนุญาตดัดแปลงอาคารให้ถูกต้องตามมาตรา 67 ประกอบมาตรา 40 (3) จึงไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายรองรับ เป็นการลงโทษโดยมิชอบ กรณีจึงต้องยกฟ้องโจทก์ในส่วนที่ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ให้ขออนุญาตดัดแปลงอาคารให้ถูกต้องเสีย ปัญหานี้เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาของจำเลยว่าการกระทำความผิดของจำเลยในความผิดอื่นเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน หรือเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์บรรยายว่าจำเลยได้กระทำความผิดหลายกรรมแยกออกจากกัน คือ จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของผู้ควบคุมอาคารได้ก่อสร้างดัดแปลงอาคารผิดไปจากแบบที่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 31 วรรคหนึ่ง, 65 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ห้ามมิให้บุคคลใดใช้หรือเข้าไปในอาคารที่ก่อสร้างดัดแปลงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 40 (2), 67 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง และฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานท้องถิ่นที่ให้รื้อถอนอาคารที่ก่อสร้างดัดแปลงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 42, 66 ทวิ วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ทั้งคำฟ้องของโจทก์มีรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดนั้นเป็นที่เห็นได้ชัดว่าความผิดทั้งสามกระทงดังกล่าวได้เกิดขึ้นต่างวาระกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยใน 3 กระทง ดังกล่าว นั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ฐานฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงานที่ให้ขออนุญาตดัดแปลงอาคารให้ถูกต้องเสีย ซึ่งเมื่อรวมโทษในความผิดที่เหลือหลังลดโทษแล้ว คงจำคุก 1 เดือน 15 วัน และปรับ 131,900 บาท กับปรับรายวันนับถัดจากวันฟ้องตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share