แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเบิกถอนเงินจากบัญชีของ ผ.5 ครั้ง โดยมีเจตนาถอนเงินทยอยออกมาเป็นคราว ๆ นำไปใช้จ่ายระคนปนกันไป เป็นเจตนาเบียดบังเงินส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายดังกล่าว ไม่ว่าจำเลยจะเบิกถอนเงินจากบัญชีกี่ครั้งก็ตามจำเลยก็มีเพียงเจตนาเดียวเพื่อที่จะเบียดบังเงินส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายเท่านั้นหาได้มีเจตนาเบียดบังเงินทุกครั้งที่เบิกถอนเงินจึงเป็นความผิดกรรมเดียว
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสามสำนวนฟ้องเป็นใจความว่า เมื่อวันที่ 10สิงหาคม 2532 นางผิน คงสะบาย มารดาโจทก์จำเลย ได้นำเงินจำนวน1,000,000 บาท ไปฝากไว้ที่ธนาคารเอเชีย จำกัด สาขาบางละมุงนางผิน ให้จำเลยเป็นผู้เปิดบัญชีร่วมด้วย และให้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินออกจากบัญชีดังกล่าว ต่อมาวันที่ 9 พฤศจิกายน 2532 นางผินถึงแก่กรรมโดยไม่ได้ทำพินัยกรรมและไม่ได้ตั้งผู้จัดการมรดกไว้เงินในบัญชีดังกล่าวของนางผินจึงตกแก่โจทก์จำเลยและทายาทโดยธรรมของนางผิน ต่อมาระหว่างวันที่ 10 พฤศจิกายน 2532ถึงวันที่ 28 ธันวาคม 2532 จำเลยได้เบิกถอนเงินออกจากบัญชีของนางผิน รวม 5 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 10 พฤศจิกายน 2532 จำนวนเงิน523,945 บาท ครั้งต่อมาวันที่ 17 พฤศจิกายน 2532 จำนวนเงิน80,000 บาท วันที่ 1 ธันวาคม 2532 จำนวนเงิน 30,000 บาท และวันที่ 28 ธันวาคม 2532 จำนวนเงิน 370,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิน1,023,945 บาท จำเลยครอบครองเงินจำนวนดังกล่าวแล้วเบียดบังเอาเงินจำนวนนั้นไปโดยทุจริตไม่แบ่งให้โจทก์และทายาทโดยธรรมของนางผิน ผู้ตาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา352 วรรคแรก, 353 และ 91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ให้ลงโทษจำคุก 9 เดือน และปรับ3,000 บาท ให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยเรียงกระทงความผิดและไม่รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 กระทงละ 2 เดือน รวม 5 กระทง จำคุก10 เดือน ไม่รอการลงโทษให้จำเลยและไม่ปรับ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยประการต่อไปว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำกรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน การวินิจฉัยข้อกฎหมายเช่นนี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนซึ่งศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเบิกถอนเงินจากบัญชีของนางผิน 5 ครั้ง โดยมีเจตนาถอนเงินทยอยออกมาเป็นคราว ๆ นำไปใช้จ่ายระคนปนกันไป เป็นเจตนาเบียดบังเงิน ส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายดังกล่าว ดังนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ไม่ว่าจำเลยจะเบิกถอนเงินจากบัญชีของนางผินกี่ครั้งก็ตาม จำเลยก็มีเพียงเจตนาเดียวเพื่อที่จะเบียดบังเงินส่วนที่เหลือจากการใช้จ่ายเท่านั้น จำเลยหาได้มีเจตนาเบียดบังเงินทุกครั้งที่เบิกถอนเงินอันจะเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันดังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ไม่ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำผิด5 กระทงตามจำนวนครั้งที่จำเลยเบิกถอนเงินจากบัญชีของนางผินฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น