แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 เป็นบทลงโทษผู้ที่ขัดคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้ในกรณีทั่ว ๆ ไป ส่วนการที่จำเลยไม่ไปรายงานตนภายใน 24 ชั่วโมง ตามคำสั่งของตำรวจจราจรในกรณีจำเลยทำผิดกฎหมายจราจรจะเป็นผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 อีกด้วยหรือไม่นั้น ต้องระลึกถึงหลักการใช้กฎหมายอาญาว่า กฎหมายจราจรมีความประสงค์จะลงโทษบุคคลผู้ขัดคำสั่งของเจ้าพนักงานหรือไม่ซึ่งจะเห็นได้จากบทบัญญัติของกฎหมายนั้นๆเองเรื่องนี้ ถึงแม้จะมี พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2477 มาตรา 64 ให้อำนาจเจ้าพนักงานสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ละเมิด พ.ร.บ. จราจรทางบกไปรายงานตนภายใน 24 ชั่วโมง ก็จริง แต่ พ.ร.บ. นี้ก็ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษแก่ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้น เพราะข้อความในมาตรา 67 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดย พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2478 มาตรา 5 แสดงให้เห็นว่า การที่ให้ไปรายงานคนนั้น กฎหมายมีความประสงค์เพื่อความสะดวกทั้งสองฝ่ายเท่านั้น คือ ผู้ไปรายงานยอมให้เปรียบเทียบ ก็ไม่ต้องถูกฟ้องเป็นจำเลย ฝ่ายเจ้าพนักงานก็ไม่ต้องเสียเวลาสอบสวนพยานเพื่อดำเนินคดีต่อศาล แต่ถ้าผู้ได้รับคำสั่งไม่ไปรายงาน ก็เท่ากับผู้นั้นปฏิเสธความผิดไม่ยอมให้เปรียบเทียบ ซึ่งก็มีทางแก้อยู่แล้ว คือ
เจ้าพนักงานดำเนินคดีฟ้องต่อศาลดุจคดีอื่น ๆ ผู้ไม่ไปรายงานตนหามีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานซ้ำอีกกระทงหนึ่งไม่
(ควรเทียบดูกับฎีกาที่ 428/2502 ซึ่งวินิจฉัย โดยที่ประชุมใหญ่เกี่ยวกับปัญหาเช่นเดียวกันนี้ แต่ข้อวินิจฉัยมีต่างกันบ้าง)
ย่อยาว
คดีได้ความตามฟ้อง และคำรับสารภาพ ของจำเลยว่า เจ้าพนักงานตำรวจจราจรสั่งให้จำเลยไปรายงานตนเองต่อเจ้าพนักงานที่สถานตำรวจภูธร อำเภอเมืองตรังภายใน ๒๔ ชั่วโมง เพราะจำเลยทำผิด พ.ร.บ. จราจร แต่จำเลยไม่ไปตามกำหนด
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลย ตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๒๔, ๖๖ และ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๔๘๑ มาตรา ๔ กับฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๘
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. จราจรทางบกตามที่โจทก์ขอ ลดรับกึ่งคงให้ปรับจำเลย ๑๕ บาท ส่วนข้อหาว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานนั้น เห็นว่าเมื่อจำเลยไม่ไปสถานีตำรวจตามคำสั่ง ก็ชอบที่จะจัดการออกหมายจับจำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๖๖ จะเอาผิดจำเลยฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานไม่ได้ ให้ยกฟ้องเฉพาะข้อหาฐานนี้
โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยควรมีผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยเข้าองค์ประกอบของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๘ แล้ว ศาลก็ต้องลงโทษตามมาตรานี้ จะอ้างว่าเจ้าพนักงานมีทางออกหมายจับจำเลยได้นั้นไม่ชอบ เพราะ ป.วิ.อ. เป็นกฎหมายวิธีสบัญญัติ เมื่อจำเลยทำผิดก็ต้องใช้กฎหมายสารบัญญัติมาลงโทษจำเลย ไม่ใช่เอากฎหมายวิธีสบัญญัติมาลงโทษแทน มิฉะนั้น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๘ ก็จะไม่มีที่ใช้
ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๘ เป็นบทลงโทษแก่ผู้ที่ขัดคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้ในกรณีทั่ว ๆ ไป จริงตามความเข้าใจของโจทก์ แต่ ต้องระลึกถึงหลักการใช้กฎหมายอาญาว่า กฎหมายนั้นมีความประสงค์จะลงโทษบุคคลผู้ขัดคำสั่งของเจ้าพนักงานหรือไม่ ทั้งนี้จะเห็นได้จากบทบัญญัติของกฎหมายนั้น ๆ เอง เรื่องนี้ถึงแม้จะมี พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๗ มาตรา ๖๔ ให้อำนาจเจ้าพนักงานสั่งเป็นหนังสือให้ผู้ละเมิด พ.ร.บ. จราจรทางบกไปรายงานคนภายใน ๒๔ ชั่วโมง ก็จริง แต่ พ.ร.บ. นี้ก็ไม่ประสงค์จะให้ลงโทษแก่ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้น เพราะข้อความในมาตรา ๖๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม โดย พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. ๒๔๗๘ มาตรา ๕ มีความว่าถ้าผู้ใดได้รับทราบคำสั่งไปรายงานตนภายในกำหนด เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งมีตำแหน่งและยศตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ก็มีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ แต่ถ้าผู้ได้รับคำสั่งฝ่าฝืนไม่ไปรายงานตนตามคำสั่ง ห้ามมิให้เจ้าพนักงานตำรวจเปรียบเทียบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การที่ให้ไปรายงานนั้น กฎหมายมีความประสงค์เพื่อความสดวกของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น คือ ผู้ไปรายงานยอมให้เปรียบเทียบ ก็ไม่ต้องถูกฟ้องเป็นจำเลยฝ่ายเจ้าพนักงานก็ไม่ต้องเสียเวลาสอบสวนพยานเพื่อดำเนินคดีต่อศาล แต่ถ้าผู้ได้รับคำสั่งไม่ไปรายงาน ก็เท่ากับผู้นั้นปฏิเสธความผิดไม่ยอมให้เปรียบเทียบ ซึ่งก็มีทางแก้อยู่แล้ว คือ เจ้าพนักงานดำเนินคดีฟ้องต่อศาลดุจคดีอื่น ๆ ผู้ไม่ไปรายงานตนหามีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานซ้ำอีกกระทงหนึ่งไม่
ศาลฎีกาพิพากษายืน