คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1845/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นภายในวันที่ 21 มีนาคม 2544แต่จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาในวันที่ 11 เมษายน 2544 โดยจำเลยแสดงไม่ได้ว่าเป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัยแต่อย่างใด โดยเฉพาะใบสำคัญความเห็นแพทย์ท้ายคำร้องก็ระบุว่าพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึงวันที่ 18 มีนาคม 2544 เท่านั้นดังนั้น กรณีจึงไม่มีเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 70,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาเพราะเหตุทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง

จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ประกอบมาตรา 247 จึงให้จำเลยนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาล และนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ยื่นคำร้องฉบับนี้

จำเลยยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 11 เมษายน 2544 ขอขยายระยะเวลาวางเงินหรือหลักประกัน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ากรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะขยายระยะเวลาการวางเงินหรือหลักประกัน ไม่อนุญาต ยกคำร้อง

จำเลยจึงยื่นคำร้องความว่า จำเลยไม่สามารถทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้จำเลยวางเงินหรือหาหลักประกันมาวางต่อศาลได้ เนื่องจากทนายจำเลยป่วยด้วยภาวะหัวใจวาย ความดันโลหิตสูง ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 12มีนาคม 2544 ถึงวันที่ 19 มีนาคม 2544 เมื่อออกจากโรงพยาบาลแล้วยังต้องหยุดพักรักษาตัวต่อจนถึงวันที่ 24 มีนาคม 2544 เมื่อจำเลยทราบคำสั่งศาลก็เป็นระยะเวลาที่พ้นกำหนดที่จำเลยจะต้องวางเงินหรือหลักประกันแล้ว กรณีจึงถือได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษและเป็นเหตุสุดวิสัย สมควรที่ศาลจะอนุญาตให้ขยายระยะเวลาวางเงินหรือหลักประกันออกไปจนถึงวันที่ 26 เมษายน 2544 ตามคำร้องของจำเลยโปรดมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาวางเงินหรือหลักประกันตามคำร้องฉบับลงวันที่ 11 เมษายน 2544 ด้วย

ศาลฎีกามีคำสั่งว่า “คดีนี้ จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่ยอมรับฎีกาของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2544 และผู้รับมอบฉันทะทนายจำเลยลงชื่อท้ายคำร้องว่าข้าพเจ้าจะมาฟังคำสั่งภายใน 7 วัน นับแต่วันนี้ หากไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้วและศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ให้จำเลยนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ยื่นคำร้องฉบับนี้ ดังนั้น จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นภายในวันที่ 21 มีนาคม2544 แต่จำเลยหาปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ กลับมายื่นคำร้องลงวันที่ 11เมษายน 2544 ขอขยายระยะเวลาการวางเงินหรือหลักประกันไปภายในวันที่ 26เมษายน 2544 ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ากรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะขยายระยะเวลาการวางเงินหรือหลักประกัน ไม่อนุญาต ดังนี้ เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 จำเลยจะต้องยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาวางเงินภายในวันที่ 21 มีนาคม 2544 แต่จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาในวันที่ 11 เมษายน 2544 โดยจำเลยแสดงไม่ได้ว่าเป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัยแต่อย่างใด โดยเฉพาะใบสำคัญความเห็นแพทย์ท้ายคำร้องก็ระบุว่าพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลถึงวันที่ 18 มีนาคม2544 เท่านั้น ดังนั้น กรณีจึงไม่มีเหตุสุดวิสัย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ากรณีไม่มีเหตุสมควรที่จะขยายระยะเวลาการวางเงินหรือหลักประกัน ไม่อนุญาต จึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งเรื่องการขอขยายระยะเวลา และให้ยกคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยด้วย”

Share