แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยกับพวกมีปากกาติดตัวเป็นอาวุธ ร่วมกันข่มขืนใจผู้เสียหายโดยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนผู้เสียหายยอมให้เงินแก่จำเลยกับพวกจำนวน 20 บาท การกระทำดังกล่าวเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้จำเลยได้รับประโยชน์เป็นทรัพย์สินโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น จึงเป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ไม่ใช่ความผิดฐานชิงทรัพย์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 337
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคสอง(2), 83 ลงโทษจำคุก 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องพิจารณาตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์หรือกรรโชกทรัพย์ และหากเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ ศาลจะพิพากษาลงโทษจำเลยได้หรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยกับพวกได้เป็นคนร้ายมีปากกาติดตัวเป็นอาวุธได้ร่วมกันข่มขืนใจนายพีระสัณห์ วีโนทัย ผู้เสียหาย โดยการทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนผู้เสียหายยอมให้เงินแก่จำเลยกับพวกจำนวน 20 บาท การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้จำเลยได้รับประโยชน์เป็นทรัพย์สินโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น จึงเป็นความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 เมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดฐานชิงทรัพย์แล้วคดีไม่จำต้องพิจารณาว่า ศาลจะลงโทษจำเลยตามความผิดฐานชิงทรัพย์ได้หรือไม่
พิพากษายืน