คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3045/2530

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์กับจำเลยทั้งสามมีกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินพิพาท การกำหนดลงไปในเอกสารรวมสองฉบับว่า ผู้ใดได้ที่ดินส่วนใด ย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะมีขึ้นให้เสร็จไป เพราะเป็นการตกลงเพื่อให้เป็นที่แน่นอนไม่โต้เถียง แย่งกันเอาที่ดินส่วนนั้นส่วนนี้ ทั้งตามข้อตกลงก็ระบุว่าจะนำช่าง รังวัดทำการปักหลักเขตแสดงว่า มีการตกลงกันแน่นอนแล้วมิฉะนั้นย่อมจะนำช่าง รังวัดที่ดินเพื่อแบ่งแยกมิได้ และหลังจากรังวัดแล้วจึงจะรู้เนื้อที่ของแต่ละคนเป็นที่แน่นอน เอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 ฟ้องแย้งเป็นเรื่องจำเลยขอให้บังคับโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยด้วยกันมิได้เพราะขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม และมาตรา 178.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสามถือกรรมสิทธิ์ร่ามกันในที่ดินโฉนดที่ 8385 ตำบลพระโขนง (ที่ 11 พระโขนงฝั่งเหนือ) อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร ขอให้พิพากษาให้เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดแบ่งแยกที่ดินแปลงนี้ออกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน โดยให้โจทก์และจำเลยทุกคนออกค่าใช้จ่ายในการรังวัดแบ่งแยกเท่า ๆ กันและให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ผู้เดียวหนึ่งในสี่ส่วนถ้าจำเลยไม่ไปขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
จำเลยที่ 1 ให้การว่า ที่ดินตามฟ้อง จำเลยทั้งสามได้แบ่งกันครอบครองเป็นส่วนสัดตรงตามฟ้องมาโดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว และได้ใช้ทางเดินผ่านเข้าออกภายในที่ดินส่วนของโจทก์ซึ่งเป็นที่ว่างและของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1ไม่ขัดข้องในการแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ได้หนึ่งในสี่ส่วนภายในเส้นสีแดงตามแผนที่ท้ายฟ้อง
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสามได้ทำความตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเป็นหนังสือต่อหน้าหยานและเจ้าพนักงานที่ดินแล้วว่า ที่ดินทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือให้เป็นของจำเลยที่ 1 ที่ดินทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเป็นของจำเลยที่ 2ที่ดินทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นของโจทก์ และที่ดินทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นของจำเลยที่ 3 ส่วนบ้านเลขที่ 47 ตกลงกันให้เป็นของโจทก์ เจ้าพนักงานไปรังวัดที่ดินตามที่ตกลงกันและได้ตกลงเพิ่มเติมแบ่งที่ดินเป็นทางเดินออกจากที่ดินของจำเลยที่ 2และของโจทก์ไปสู่ซอยเศรษฐบุตร ได้มีการปักหลุมหลักเขตไว้แล้วและยังไม่มีการยกเลิกข้อตกลงดังกล่าว จำเลยที่ 3 ทำรั้วเพื่อป้องกันสิทธิของตนไม่ได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ จำเลยที่ 2 ได้สิทธิภารจำยอมในถนนเข้าออกในที่พิพาท จึงฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องโจทก์ บังคับให้โจทก์จำเลยทุกคนแบ่งแยกที่ดินแก่จำเลยที่ 3 หนึ่งในสี่ส่วนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ให้โจทก์ได้ที่ดินทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ตามแผนที่รังวัดของเจ้าพนักงานที่ได้รังวัดเมื่อวันที่ 21 เมษายน2525 หากฝ่ายใดไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนา
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ไม่เคยตกลงแบ่งแยกที่ดินพิพาทเอกสารท้ายฟ้องแย้งเป็นเอกสารปลอม โดยให้โจทก์ลงชื่อแล้วจำเลยกับพวกไปกรอกข้อความเอาเอง ลายมือชื่อโจทก์ในแผนที่จำลองเป็นลายมือชื่อปลอม
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า โจทก์และจำเลยทั้งสามได้ตกลงทำบันทึกแบ่งกรรมสิทธิ์ที่พิพาทแล้ว โจทก์และจำเลยทั้งสามเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่พิพาทภารจำยอมจะมีขึ้นไม่ได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์ บังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยให้แบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ 8385 ตำบลพระโขนง (ที่ 11 พระโขนงฝั่งเหนือ) อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร ตามบันทึกข้อตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ฉบับลงวันที่ 29 มีนาคม 2525ส่วนจำนวนเนื้อที่ดินนั้นให้โจทก์และจำเลยแต่ละคนได้รับส่วนเท่า ๆ กัน หากโจทก์หรือจำเลยคนใดคนหนึ่งไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา ให้โจทก์ออกค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการรังวัดหนึ่งในสี่ ถ้าไม่ออกให้จำเลยที่ 2 หรือจำเลยที่ 3 ออกแทนไปแล้วให้บังคับชำระหนี้ตามจำนวนที่ออกไป พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันชำระแทนไปจนถึงวันที่ได้รับชำระ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์สำหรับจำเลยที่ 2ที่ 3 เห็นควรให้เป็นพับ ส่วนจำเลยที่ 1 มิได้แก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนดค่าทนายความให้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบคงฟังได้ในเบื้องต้นว่าที่พิพาทเดิมเป็นของนางเล้ก เล็กเจริญสุข ยกให้บุตรชาย 4 คน คือ จำเลยที่ 3 ที่ 2 นายอัมพรและนายสมจิตร ต่อมานายสมจิตรยกกรรมสิทธิ์ที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่จำเลยที่ 1ซึ่งเป็นบุตรและโจทก์รับมรดกที่ดินเฉพาะส่วนของนายอัมพรสามีซึ่งถึงแก่กรรม โจทก์และจำเลยที่ 3 มีภูมิลำเนาอยู่ที่ตำบลท่าตูมอำเภอศรีมหาโพธิ์ จังหวัดปราจีนบุรี ในที่พิพาทมีบ้านปลูกอยู่4 หลัง ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือเป็นเรือนไม้ 2 ชั้น เลขบ้านที่ 47/1 เป็นของนายสมจิตรบิดาจำเลยที่ 1 ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือมีเรือนไม้ 2 ชั้นของจำเลยที่ 2 หนึ่งหลังไม่มีเลขบ้านและตึกชั้นเดียว 1 หลังของนายศิริภริยาคนที่ 2 ของจำเลยที่ 2 เลขบ้านที่ 47/2 ส่วนทางด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้มีเรือนไม้ 2 ชั้นพร้อมทั้งเรือนไม้ชั้นเดียวอีก 1 หลัง เลขบ้านที่ 47มีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าบ้านแต่จำเลยที่ 3 เป็นคนปลูก ทั้งโจทก์และจำเลยที่ 3 ส่งบุตรมาศึกษาในกรุงเทพมหานครและให้พักที่บ้านเลขที่ 47 นี้ ค่าใช้จ่ายในบ้านนี้และค่าเล่าเรียน ค่ากินอยู่ผู้อยู่อาศัยใช้เงินกองกลางที่ใช้ประโยชน์ร่วมกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ส่วนที่ดินด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่ว่างอยู่ติดซอยเศรษบุตร ภายในที่พิพาทไม่มีการกั้นรั้วเป็นส่วนสัดคงมีแต่ถนนผ่านกลางที่ดินเพื่อเข้าไปยังที่ดินด้านใน ผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสี่ได้เจรจาเพื่อตกลงแบ่งที่พิพาทกันหลายครั้งในที่สุดได้พร้อมกันไปยื่นคำขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินโดยทำบันทึกแบ่งกรรมสิทธิ์รวมลงวันที่ 29 มีนาคม 2525 ลงชื่อไว้เป็นหลักฐานด้วยกันทั้งในบันทึกและรูปแผนที่จำลอง เจ้าพนักงานได้มารังวัดแบ่งแยกที่ดินในวันที่ 21 เมษายน 2525 โจทก์กับนางดรุณีมารดาจำเลยที่ 1ไม่ยอมลงชื่อในบันทึกถ้อยคำและใบรับรองเขตที่ดิน การรังวัดแบ่งแยกที่ดินจึงไม่สำเร็จ หลังจากวันรังวัดที่ดิน 4-5 วัน โจทก์ก็ปลูกบ้านลงในที่ว่างด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้โดยมิได้ขออนุญาตต่อทางการ จำเลยที่ 3 จึงแจ้งให้ทางการทราบทางการดำเนินคดีกับโจทก์ ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาลงโทษปรับโจทก์ไปแล้วคงมีข้อที่นำสืบโต้เถียงกันกล่าวคือ จำเลยนำสืบก่อนว่า บิดาจำเลยที่ 2ที่ 3 สั่งให้จำเลยที่ 3 ปลูกบ้านเลขที่ 47 และให้จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าบ้าน ต่อมาจำเลยที่ 3 เป็นผู้ปลูกบ้านอีก 2 หลังให้จำเลยที่ 2กันนายสมจิตรบิดาจำเลยที่ 1 อยู่คนละหลัง โจทก์กับจำเลยที่ 3มาพักบ้านเลขที่ 47 เป็นครั้งคราว ผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินทุกคนตกลงกันได้แล้วจึงไปขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวม เจ้าหน้าที่สอบถามตามรายละเอียดแล้วว่า ส่วนไหนเป็นของใครจึงทำบันทึกให้ทุกคนลงชื่อ ก่อนลงชื่อเจ้าหน้าที่ได้ให้ผู้ถือกรรมสิทธิ์ทุกคนทราบข้อความในบันทึกแล้วแต่เมื่อเจ้าพนักงานไปรังวัดที่ดินตามที่ตกลงกันโจทก์จะให้เปิดทางเป็นถนนผ่านกลางที่พิพาทแทนที่จะใช้ทางออกทางด้านใต้ของที่ดินด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อจำเลยที่ 3ไม่ยอมการรังวัดแบ่งแยกที่ดินจึงเป็นอันไม่สำเร็จส่วนโจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 แบ่งกันครอบครองที่พิพาทด้วยการปลูกบ้านของตนตามส่วนที่ตกลงแบ่งกันแล้ว บ้านเลขที่ 47 เป็นของจำลเยที่ 3 จำเลยที่ 3 เป็นผู้ขอติดตั้งโทรศัพท์และเมื่อเกิดทะเลาะกับโจทก์ จำเลยที่ 3 ก็ใช้สิทธิในฐานะเจ้าของบ้านขับไล่โจทก์กับบุตรมิให้อยู่ในบ้านดังกล่าว หลังจากประชุมตกลงแบ่งที่ดินกันไม่ได้จึงมีการไปยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยก จำเลยที่ 3 เป็นคนบอกให้เจ้าหน้าที่กรอกข้อความ โจทก์กับนางดรุณีมารดาจำเลยที่ 1 ไปรับประทานอาหารเมื่อกลับมา จำเลยที่ 3 ว่าเจ้าหน้าที่เขียนเสร็จแล้วให้ลงชื่อ โจทก์กับนางดรุณีจึงลงชื่อให้ไปโดยเจ้าหน้าที่ไม่ได้อ่านข้อความให้ฟัง โจทก์ก็ไม่ได้อ่าน เมื่อเจ้าพนักงานรังวัดไม่ตรงตามความประสงค์ของโจทก์ที่ต้องการได้ที่ดินที่เป็นที่ว่างทางด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ โจทก์จึงไม่ยอมลงชื่อในเอกสารต่าง ๆ เมื่อจำเลยที่ 3 ไล่โจทก์กับบุตรออกจากบ้านเลขที่ 47 โจทก์จึงปลูกบ้านเพื่อให้บุตรอยู่อาศัยในที่ว่างด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของที่พิพาท
พิเคราะห์แล้ว ข้อที่โจทก์ฎีกาว่า บันทึกข้อความตามเอกสารหมาย ล.18 ล.34 มิใช่สัญญาประนีประนอมยอมความไม่มีผลใช้บังคับนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เอกสารดังกล่าวเป็นบันทึกแบ่งกรรมสิทธิ์รวม มีข้อความว่า โจทก์กับจำเลยทั้งสามได้ทำบันทึกข้อตกลงแบ่งส่วนที่ดินของตนที่มีอยู่ในที่ดินออกจากกัน จำนวน 3 แปลง แบ่งที่ดินทางทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก แปลงที่ 1 เป็นของจำเลยที่ 2แปลงที่ 2 ถัดจากแปลงที่ 1 มาทางทิศใต้เป็นของโจทก์ แปลงที่ 3เป็นของจำเลยที่ 1 แปลงคงเหลือเป็นของจำเลยที่ 3 ส่วนเนื้อที่จะแจ้งในวันไปรังวัด และทุกคนจะนำช่างรังวัดทำการปักหลักเขตให้เป็นการแน่นอนต่อไป และยังมีเอกสารหมาย ล.19 ล.36 ซึ่งมีรูปจำลองแผนที่ มีรอยขีดเส้นแบ่งที่ดินออกเป็น 4 ส่วน เขียนชื่อโจทก์ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ชื่อจำเลยที่ 3 ในบริเวณที่ดินด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสามลงชื่อรับรองเอกสารและรูปแผนที่ดังกล่าวไว้ด้วย เมื่อโจทก์กับจำเลยทั้งสามมีกรรมสิทธิ์รวมกันในที่ดินพิพาท การกำหนดลงไปในเอกสารทั้งสองฉบับว่า ผู้ใดได้ที่ดินส่วนใดย่อมเป็นการระงับข้อพิพาทอันจะมีขึ้นให้เสร็จไปเพราะเป็นการตกลงเพื่อให้เป็นที่แน่นอนไม่โต้เถียงแย่งกันเอาที่ดินส่วนนั้นส่วนนี้ ทั้งตามข้อตกลงก็ระบุว่าจะนำช่างรังวัดทำการปักหลักเขตแสดงว่ามีการตกลงกันแน่นอนแล้วมิฉะนั้นก็ย่อมจะนำช่างรังวัดที่ดินเพื่อแบ่งแยกมิได้ และหลังจากรังวัดแล้วจึงจะรู้เนื้อที่ของแต่ละคนเป็นที่แน่นอน เอกสารดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงฟ้องแย้งขอให้บังคับให้เป็นไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นและไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไปแต่ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้มีผลบังคับถึงจำเลยที่ 1 ด้วยนั้นยังไม่ถูกต้องเพราะฟ้องแย้งเป็นเรื่องจำเลยขอให้บังคับโจทก์จะขอให้บังคับจำเลยด้วยกันมิได้ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 177วรรคสาม และมาตรา 178
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แบ่งแยกที่ดินโฉนดที่ 8385 ตำบลพระโขนง(ที่ 11 พระโขนงฝั่งเหนือ) อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานครออกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน ให้จำเลยที่ 2 ได้ที่ดินทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ โจทก์ได้ที่ดินทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จำเลยที่ 3 ได้ที่ดินทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ หากโจทก์ไม่ยินยอมให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าทนายความชั้นฏีกา สำหรับจำเลยที่ 2ที่ 3 ให้เป็นพับ ส่วนจำเลยที่ 1 มิได้แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความให้”.

Share