แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เงินบำรุงท้องที่เป็นเงินที่รัฐให้เรียกเก็บเพื่อใช้จ่ายบำรุงความผาสุขของราษฎรในท้องที่ ผู้ใดไม่เสีย เจ้าพนักงานอาจยึดทรัพย์สินมาขายทอดตลาดเอางเงินชำระได้ ฉะนั้นเมื่อเจ้าพนักงานเรียกเก็บเงินนี้มาจาก
ราษฎรได้แล้ว เงินนี้ก็เป็นเงินของแผ่นดิน หาใช่เงินของราษฎรที่เสียภาษีแต่ละคนไม่ และเมื่อสมุห์บัญชีอำเภอรับ
เงินนี้ไว้จากราษฎรในฐานที่เป็นสมุห์บัญชีอำเภอ สมุห์บัญชีอำเภอก็มีหน้าที่รับผิดชอบปกครองดูแลรักษาเงินนี้ไว้
เมื่อสมุห์บัญชีอำเภอยักยอกเงินนี้ไป ก็ย่อมมีผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญามาตรา 131 และในการดำเนินคดี ก็ไม่จำเป็นให้ราษฎรเจ้าของเงินมาร้องทุกข็ขอให้ดำเนินคดี./
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ รับราชการเป็นสมุห์บัญชีอำเภอห้างฉัตร จำเลยที่ ๒ เป็นเสมียนแผนกสรรพากรอำเภอห้างฉัตร
ได้สมคบกันยักยอกเงินช่วยบำรุงท้องที่ ซึ่งราษฎรนำส่งต่อรัฐบาล ฯลฯ ขอให้โทษ
จำเลยปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ผิดตามก.ม.ลักษณะอาญามาตรา ๑๓๑, ให้จำคุก ๖ ปี ลดตามมาตรา ๕๙ หนึ่งในสาม
คงจำคุก ๔ ปี กับให้ให้ราคาทรัพย์ ส่วนจำเลยที่ ๒ ไม่ผิด ให้ยกฟ้องปล่อยตัวไป
จำเลยที่ ๑ ผู้เดียวอุทธรณ์
ศาลอุทธรณืพิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกาต่อมา
ศาลฎีกาเห็นว่า เงินที่จำเลยรับไว้จากราษฎรนี้ เป็นเงินช่วยบำรุงท้องที่ ซึ่งค้างเก็บในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๘๖ ถึง ๒๔๙๒
ทางจังหวัดเขียนใบเสร็จส่งมาให้อำเภอดำเนินการเก็บจากราษฎรแล้ว จำเลยที่ ๑ ได้สั่งให้กำนันไปแจ้งแก่ราษฎรให้นำ
เงินมาชำระ ราษฎรจึงได้นำเงินมาชำระให้จำเลยที่ ๑ ๆ รับเงินจากราษฎรแล้วก็มอบใบเสร็จซึ่งทางจังหวัดส่งมาให้นั้น
แก่ราษฎรไป ดังนี้ เงินที่จำเลยรับไว้นี้ จึงเป็นเงินที่ราษฎรนำมาชำระเป็นเงินช่วยบำรุงท้องที่ แม้จะยังไม่ประกาศแบบ
บ.ท.๖ และ บ.ท.๗ อีกครั้งหนึ่งก็ไม่สำคัญ เพราะเป็นเงินค้างเก็บ ซึ่งราษฎรมีหน้าที่จะต้องชำระอยู่ทุกเมื่อแล้ว จำเลยที่ ๑
รับไว้ในฐานที่เป็นสมุหบัญชีอำเภอ จำเลยที่ ๑ จึงมีหน้าที่รับผิดชอบปกครองดูแลรักษาเงินนี้ตามฟ้องโจทก์.
และเงินลบำรุงท้องที่นี้ แม้ในขณะเกิดเหตุก็เป็นเงินที่ทางรัฐให้เรียกเก็บเพื่อใช้จ่ายบำรุงความผาสุขของราษฎรในท้องที่
ผู้ใดไม่เสีย เจ้าพนักงานอาจยึดทรัพย์สินมาขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ได้ ดังนี้ เมื่อเจ้าพนักงานเรียกเก็บเงินนี้มา
จากราษฎรได้แล้ว เงินนี้ก็เป็นของแผ่นดิน หาใช่เป็นเงินของราษฎรที่เสียภาษาีแต่ละคนไม่ เมื่อจำเลยยักยอกเงินนี้ไป
ก็ไม่จำต้องให้ราษฎรเจ้าของเงินมาร้องทุกข์ขอให้ดำเนินคดี
ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
จึงพิพากษายืน